"ประตูบ้าน" ในทางฮวงจุ้ยถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการวิเคราะห์ฮวงจุ้ยว่าดีหรือไม่ดี เพราะถือว่า ประตูเป็นด่านแรกที่พลังชี่จะไหลผ่านเข้าสู่บ้าน ถ้าเสียตั้งแต่ทางเข้าแล้ว ต่อให้ภายในจัดได้ดีแค่ไหน ก็ไม่เกิดประโยชน์ การพูดถึงประตูบ้าน จะหมายถึง "ประตูรั้ว" กับ "ประตูเข้าบ้าน" จะต้องพิจารณาทั้งสองประตูนี้ ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะทั้งสองประตูเป็นด่านแรกในการรับพลังชี่เข้าสู่บ้าน การวางตำแหน่งของประตูบ้าน จะมีหลักเกณฑ์มากมาย ลองมาดูสิว่า มีข้อบัญญัติอะไรบ้าง 1. วางประตูรับกระแสวิ่งเข้า การกำหนดตำแหน่งของประตู โดยเฉพาะประตูรั้ว จะต้องดูกระแสวิ่งเข้าเป็นหลัก โดยในตำราฮวงจุ้ยจะระบุไว้ว่า "กระแสวิ่งซ้าย ให้เปิดประตูด้านขวา กระแสวิ่งขวา ให้เปิดประตูด้านซ้าย" หลักการพิจารณากระแสวิ่งเข้า ก็ไม่ยากครับ ให้นึกถึงเวลาขับรถ กระแสที่วิ่งเข้าก็คือ กระแสที่รถวิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน นั่นเอง การวางตำแหน่งประตูรั้วตามกระแสชี่ที่วิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน
2. ประตูอยู่ตำแหน่งมังกร ถ้านำหลักเสือขาว-มังกรเขียว มาพิจารณา ตำแหน่งประตูเข้าบ้าน (ประตูรั้ว)จะต้องอยู่ด้านซ้ายของบ้านเสมอ เพราะตำราฮวงจุ้ยจะถือว่า ตำแหน่งมังกรเป็นตำแหน่งใหญ่ การทำเป็นประตูทางเข้าถือว่าเป็นมงคล จะดีกว่าการเปิดประตูทางเข้าในตำแหน่งเสือขาว หรือด้านขวาของบ้าน แต่หลักนี้ไม่ใช่หลักตายตัว ยังไงต้องดูกระแสวิ่งเข้าประกอบด้วย
3. ประตูเข้าอยู่กลาง การวางตำแหน่งประตูทางเข้าบ้าน ไว้ตรงกลางจะเหมาะกับบ้านหลังใหญ่เท่านั้น เพราะหลักฮวงจุ้ยจะห้ามเอาไว้ว่า กระแสที่วิ่งมาจากประตูทางเข้า ห้ามชนตัวบ้าน ถ้าบ้านมีพื้นที่น้อย แล้ววางประตูอยู่ตรงกลาง โอกาสที่จะกระแสจะวิ่งชนตัวบ้านก็มีสูง
4. ประตูรั้วห้ามตรงกับประตูบ้าน เมื่อได้ตำแหน่งของประตูรั้วแล้ว การพิจารณาประตูเข้าสู่ตัวบ้าน จะต้องเลือกวางประตูไม่ให้ตรงกับประตูรั้ว เพราะเป็นกฎข้อห้ามในทางฮวงจุ้ย เนื่องจากกระแสจะวิ่งเป็นเส้นตรงเข้าสู่ตัวบ้าน ถือเป็นกระแสที่ร้าย ห้ามวางอย่างเด็ดขาด ตำแหน่งที่ดีก็คือ ประตูเข้าบ้าน จะต้องอยู่เฉียงกับประตูรั้ว
5. บริเวณหน้าประตูต้องโล่ง หน้าประตูใหญ่เข้าบ้าน ถ้าเป็นสนามหรือมีที่โล่งจะถือว่าดีมาก เพราะบริเวณที่โล่งหน้าประตูบ้านก็คือ "เหม่งตึ้ง" หรือลานรับพลัง นั่นเอง ตำราฮวงจุ้ยเขียนไว้ชัดว่า หน้าประตูห้ามอุดตัน หรือมีสิ่งปิดบัง เช่น ต้นไม้ใหญ่ บริเวณหน้าประตูที่ดีจะต้องให้แสงแดดส่องถึง มีลมพัดผ่านได้ดี บ้านนั้นก็จะรับแต่สิ่งดีๆเข้าบ้าน ประตูรั้วกับประตูบ้านตรงกัน ถือเป็นข้อห้ามร้ายแรงในทางฮวงจุ้ย
6. หลีกเลี่ยงการวางตำแหน่งประตูอยู่ข้างบ้าน แบบบ้านส่วนใหญ่ มักวางตำแหน่งประตูเข้าบ้านให้หันมาหน้าบ้านมากกว่าจะวางประตูเข้าไว้ทางด้านข้างของบ้าน ประตูที่หันหน้าไปสู่ถนนหน้าบ้าน จะรับกระแสเข้าได้ดีกว่า
7. ประตูเข้าบ้านห้ามมี 2 ประตู นี่เป็นกฎข้อห้ามอีกข้อหนึ่ง เพราะในทางฮวงจุ้ยถือว่า การมีประตูทางเข้าบ้าน 2 ประตู เท่ากับมี 2 ปาก จะเก็บทรัพย์ไม่อยู่
8. ขนาดของประตูต้องสมดุลกับตัวบ้าน ประตูจะใหญ่จะเล็กต้องขึ้นอยู่กับตัวบ้านเป็นหลัก ประตูถ้าเล็กเกินไป ทำให้กระแสชี่ไหลเข้าไม่สะดวก ถ้าประตูใหญ่เกินไป กระแสชี่ก็จะกระจายออก เก็บรักษาชี่ไม่ได้ ดังนั้น ทำให้พอดีกับขนาดของบ้านก็แล้วกัน แต่ส่วนใหญ่ประตูเข้าบ้านถ้ามีขนาดใหญ่จะดีกว่าเล็ก มักทำเป็นประตูเปิดแบบสองบานมากกว่าประตูบานเดียว
9. การกำหนดทิศของประตู การที่ประตูจะหันไปทิศทางไหนดีนั้น ในทางฮวงจุ้ยบอกเอาไว้ว่า ให้พิจารณาชัยภูมิให้ถูกต้องเสียก่อน ไม่ใช่เอาทิศมาเป็นตัวกำหนด ทิศของประตูที่ดีในตำราบอกว่า ทิศใต้ดีที่สุด เพราะทิศใต้เป็นทิศของทรัพย์หรือโชคลาภ นอกจากนี้ยังเป็นทิศทางลมที่ดีอีกด้วย รองลงมาก็เป็นทิศตะวันออก ซึ่งเป็นทิศของมังกร เป็นทิศที่แสงจะส่องตอนเช้า ส่วนทิศไม่ดีก็คือทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศที่นำโรคภัยมาให้ เพราะเป็นทิศอับลม ฤดูหนาวก็นำลมแห้งแล้งมาสู่บ้าน มีแต่เรื่องเจ็บป่วยตลอดปี ส่วนทิศตะวันตก แดดส่องเข้าประตูในตอนบ่าย ทำให้บ้านร้อน
10. ประตูควรเปิดเข้าหรือเปิดออก โดยธรรมชาติแล้ว การเปิดประตูในลักษณะเปิดเข้าย่อมดีที่สุด เพราะกระแสจะไหลอย่างราบรื่น แต่ในปัจจุบันประตูบ้านส่วนใหญ่จะเปิดออก เพราะต้องทำประตูเหล็กดัดอีกชั้นหนึ่ง ถ้ามองประเด็นนี้ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรมากถ้าประตูจะเปิดออก เรื่องความปลอดภัยน่าจะสำคัญมากกว่าความสะดวกในการเข้าบ้าน
ผมว่าเอาแค่ 10 ข้อก่อนนะครับ ความจริงยังมีเรื่องปลีกย่อยอีกมาก แต่ผมว่าเอาหลักๆ ให้ถูกเสียก่อน เพราะบางคนชอบเอาเรื่องเล็กๆ ปลีกย่อยมาเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เสียเรื่องหลักไป อย่าลืมว่า เรื่องประตูบ้านถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ควรละเลยอย่างเด็ดขาด เพราะถ้าทางเข้าไม่ถูกหลักเสียแล้ว สิ่งดีๆทั้งหลายจะไหลเข้าบ้านได้อย่างไร จริงไหมครับ?
|