คอนโด, บ้านจัดสรร, บ้านโครงการ,คอนโดมิเนียม,บ้านเดี่ยว, บ้านมือสอง,บ้านเช่า,ขายบ้าน, ที่ดิน, ตกแต่งบ้าน
อัพเดตล่าสุดวันที่ 27/12/2567
หน้าแรก | บ้าน คอนโด บ้านมือสอง | ประกาศ ซื้อขายบ้าน คอนโด ที่ดิน | สินเชื่อ | ตกแต่งบ้าน | เรื่องน่ารู้ | ไลฟ์สไตล์ | ลงประกาศซื้อขายฟรี
 
User Name
Password
เมนูหลัก
สมัครสมาชิก ลงประกาศ
ลืมรหัสผ่าน
ลงประกาศซื้อขาย
ค้นหาประกาศซื้อขาย
คู่มือซื้อขายบ้าน
ติดต่อสอบถาม

ออมเท่าไหร่ ให้เกษียณอย่างแสนสุข

decorating idea design ควรตั้งเป้าหมายการออม 30% ของรายได้

เมื่อไหร่ที่พูดถึงการ 'วางแผนทางการเงิน' หรือ 'การออม' เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ 'ชีวิตหลังเกษียณ' แล้ว เชื่อว่า คนไทยส่วนใหญ่คงจะส่ายหน้า

เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่ดูจะ 'ไกลตัว' ไปหน่อย เป็นเรื่องของ 'อนาคต' ที่ยังมาไม่ถึง เป็น 'นามธรรม' ที่จับต้องก็ไม่ได้ จึงไม่ใส่ใจและละเลยไป

ในขณะที่คนส่วนใหญ่ทุ่มเทความสนใจไว้ที่ 'ปัจจุบัน' ที่เป็นอยู่ ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องที่ 'ใกล้ตัว' แล้วก็เป็น 'รูปธรรม' ที่จับต้องได้ง่ายกว่า

เสียงโอดครวญที่เกิดขึ้นในสังคม บ้างก็ว่าลำพังแต่ละเดือนจะหารายได้มาให้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยังจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเรื่องการออมเพื่ออนาคตอีกล่ะ วันนี้จะมีกินมีใช้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย

ถ้าชีวิตคุณเป็นไปในลักษณะนี้ เรื่องของการวางแผนการเงินและการออมยิ่งเป็นเรื่องที่คุณควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ลองจินตนาการไปถึงวันที่คุณเกษียณแล้วไม่มี 'รายได้' คงเหลือแต่ 'รายจ่าย' คุณจะใช้ชีวิตหลังเกษียณของคุณได้อย่างไร

Fundamentals สัปดาห์นี้ มีวิธีการคำนวณเงินออม เพื่อให้คุณเตรียมความพร้อมก่อนชีวิตหลังเกษียณ

........................

คุณทราบหรือไม่ว่า อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนไทยในปัจจุบัน แตกต่างกันกับในอดีตค่อนข้างมากทีเดียว โดยคนไทยมีแนวโน้มที่จะมีอายุขัยนานขึ้นทั้งชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากเมื่อในอดีต นั่นหมายความว่า คุณจะมีช่วงชีวิตหลังวัยเกษียณที่ยาวนานขึ้นด้วยนั่นเอง ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการว่าอีก 20 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2563-2568) อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนไทยจะเพิ่มสูงขึ้น โดยชายไทยจะมีอายุเฉลี่ย 75 ปี และหญิงไทยมีอายุเฉลี่ยถึง 80 ปี

'นั่นหมายความว่า คุณจะต้องมีชีวิตหลังเกษียณที่ยาวนานขึ้นกว่าในอดีต สำหรับผู้ชายก็ประมาณ 15 ปี ส่วนผู้หญิงก็ 20 ปี แล้วคุณจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่มีการวางแผนการเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณเอาไว้'

จากการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทย เคยสำรวจวัตถุประสงค์ในการออมเงินของบุคคล พบว่า เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการออม ก็เพื่อไว้ใช้ในยามเจ็บป่วยหรือวัยชรา ตามมาด้วยการ ออมเพื่อการศึกษา และ เพื่อเป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ตามลำดับ

ซึ่ง Fundamentals สัปดาห์นี้จะเน้นหนักไปถึง การออมเพื่อให้เพียงพอไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณ ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ที่มีความสำคัญทั้งในระดับบุคคล คือ ตัวผู้ออมเอง และยังส่งผลประโยชน์ทางอ้อมมาถึงส่วนรวมด้วย เพราะจะช่วยลดภาระของรัฐบาลในอนาคตอีกด้วย แต่ไม่ว่าเป้าหมายในการออมจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม จุดร่วมที่เหมือนกันก็คือจะต้องเริ่มต้นด้วย 'การออม'

'แล้วเมื่อคุณตั้งใจจะออมเงินแล้ว ก็ควรจะมีเป้าหมายในการออมเสียหน่อยว่าควรจะออมเท่าไรถึงจะเพียงพอ ที่จะทำให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างสบายๆ ในช่วงชีวิตหลังเกษียณไปแล้ว'

ระดับเงินออมเท่าไรถึงจะเรียกว่า 'เพียงพอ' สำหรับตัวเอง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีนักวิจัยทางการเงินให้สูตรในการคำนวณง่ายๆ เอาไว้ เพื่อให้คุณได้ใช้เป็นจุดอ้างอิง (Bench Mark) ในการตรวจสอบถึงฐานะการเงินของตัวเอง เป็นการแปลงเรื่องราวที่ดูเป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมที่สามารถจะมองเห็นได้ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการกำหนดเป้าหมายในการออมระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยใช้อายุปัจจุบันคูณด้วยรายได้ทั้งปี แล้วนำมาหารด้วย 10 ก็จะได้ 'ระดับเงินออมที่เหมาะสม' ออกมา แต่ทั้งนี้จะต้องไม่ลืมว่าแต่ละคนมีวิธีการถือสินทรัพย์ที่แตกต่างกันออกไป

แต่ในที่นี้ระดับเงินออมที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งเดียวกันกับ 'ความมั่งคั่ง' ที่จะนับยอดรวมของเงินสด เงินฝากธนาคาร หุ้น พันธบัตร บ้าน ที่ดิน ทองคำ เครื่องประดับ วัตถุโบราณหรือของสะสมต่างๆ เป็นต้น ลบด้วยหนี้สินที่มีอยู่ นั่นจึงจะเป็นระดับเงินออมที่เหมาะสมตามสูตรนี้ ซึ่งระดับเงินออมที่เหมาะสมนี้จะขึ้นอยู่กับตัวแปรหลักเพียง 2 ตัวเท่านั้น คือ 'อายุ' และ 'รายได้'

ตัวอย่าง ถ้าขณะนี้คุณมีอายุ 25 ปี และได้รับเงินเดือนๆ ละ 10,000 บาท ดังนั้น ปัจจุบันคุณก็ควรจะมีเงินออมประมาณ 300,000 บาท (=25 คูณ 10,000 คูณ 12 หารด้วย 10) ถ้าหากใครที่ยังมีเงินออมต่ำกว่าตัวเลขที่คำนวณออกมาได้ ก็ควรจะเริ่มต้นออมกันได้แล้ว

สำหรับผู้ที่มีระดับเงินออมในปัจจุบันเพียงพอแล้ว ก็ขอแสดงความยินดีด้วย แต่สำหรับผู้ที่ยังมีระดับเงินออมไม่เพียงพอก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาสำรวจดูตัวเองอีกครั้ง เพราะจะเห็นได้ว่าแม้แต่ผู้ที่มีรายได้สูงมากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าใช้จ่ายแบบ เดือนชนเดือน กู้หนี้ยืมสินมาใช้ ชักหน้าไม่เคยถึงหลัง มีรายได้มาก็ไม่เคยเหลือเก็บ ไม่รู้จักเก็บออม คุณก็อาจจะกำลังตกอยู่ในฐานะของผู้ที่มีระดับเงินออมไม่เพียงพอได้เช่นเดียวกัน สมมติคุณมีอายุ 30 ปี และมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท แต่กลับมีระดับของเงินออมไม่ถึง 720,000 บาท ก็นับว่าคุณยังมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับตัวเองในปัจจุบันเช่นเดียวกัน

เมื่อชีวิตก้าวเข้าสู่วัยเกษียณแล้วจะมีจุดเปลี่ยน (Turning Point) ที่สำคัญเกิดขึ้น เพราะช่วงชีวิตในวัยทำงานนั้น จะมีทั้งส่วนของรายได้ที่เข้ามาและรายจ่ายที่จะต้องจ่ายออกไป คือ มีครบทั้งกระแสเงินสดรับและกระแสเงินสดจ่าย บนสมมติฐานของมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป แต่เมื่อคุณเกษียณแล้วรายได้จากเงินเดือนก็จะหมดไป เหลือเพียงแต่รายจ่ายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น คุณควรจะต้องมีระดับของเงินออมที่มากเพียงพอในระดับหนึ่ง เพื่อที่จะทำให้คุณสามารถใช้ชีวิตในช่วงหลังเกษียณได้อย่างสบายในระดับหนึ่ง

ส่วนการคำนวณว่า ระดับเงินออมที่เหมาะสม สำหรับแต่ละคนนั้นควรเป็นเท่าไรอย่างแน่นอนนั้น จะต้องพิจารณาถึงเป้าหมาย และความจำเป็นในการใช้เงินของตัวคุณเองเป็นสำคัญ

ตัวอย่าง ถ้าคุณตั้งใจจะเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี แล้วมีชีวิตหลังเกษียณไปอีก 20 ปี โดยจะใช้จ่ายเดือนละ 10,000 บาท คุณก็ควรจะมีเงินออมประมาณ 2,400,000 บาท (=10,000 คูณ 12 คูณ 20) เพื่อที่คุณจะได้มีเงินใช้หลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท ตามที่ตั้งใจไว้

เมื่อเห็นเป้าหมายในอนาคตแล้ว ก็มาสำรวจดูว่าปัจจุบันคุณอยู่ที่ตรงไหนของเส้นทางนี้ ถ้าปัจจุบันคุณมีอายุ 30 ปี แสดงว่า คุณมีเวลาเหลืออีก 30 ปี จึงจะเกษียณ (=60-30) ในกรณีที่คุณไม่มีเงินออมอยู่เลย คุณจะต้องออมให้ได้ปีละ 80,000 บาท หรือเดือนละ 6,666.67 บาท ไปอีก 30 ปี เพื่อที่จะมีเงินออมจำนวน 2,400,000 บาท เอาไว้ใช้หลังเกษียณตามที่คิดเอาไว้

'มีผู้เชี่ยวชาญประมาณกันว่า สำหรับคนไทยในยุคปัจจุบันหากเกษียณอายุและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แบบสบาย ก็ควรจะมีเงินไม่ต่ำกว่า 3,000,000 บาท'

ตารางที่ 1 เป็นการคำนวณจำนวนปีที่ต้องใช้เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายระดับเงินออมที่ต้องการ (โดยสมมติให้เงินออมได้รับผลตอบแทนที่แท้จริงที่ระดับ 5% ต่อปี และจำนวนปีที่ระบุในตารางเป็นตัวเลขปัดเศษขึ้นเป็นจำนวนเต็ม) สมมติคุณตั้งใจจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี โดยมีเป้าหมายเงินออมเท่ากับ 3,000,000 บาท โดยปัจจุบันครอบครัวคุณมีรายได้ปีละ 250,000 บาท ขณะนี้คุณมีอายุ 40 ปี และสมมติต่อไปว่าคุณมีเงินออมอยู่แล้ว 500,000 บาท

นั่นหมายความว่า คุณยังมีเวลาอีก 20 ปีที่จะทำงานก่อนที่จะเกษียณ และคุณต้องการเงินอีก 2,500,000 บาท หรือคิดเป็น 10 เท่าของรายได้ต่อปีของครอบครัว (=2,500,000 หาร 250,000) จากตารางที่ 1

ให้คุณดูแถวที่ระดับ 10 เท่า และไล่ไปตามบรรทัดนั้นจนเจอตัเลข 20 ปี จากนั้นให้คุณมองไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงหัวคอลัมน์ คุณจะพบว่าคุณ ควรจะตั้งเป้าหมายการออมเงินที่ระดับ 30% ของรายได้ ซึ่งเท่ากับเดือนละ 6,250 บาท (=250,000 คูณ 30% หารด้วย 12)

'เมื่อคุณได้เป้าหมายการออม ที่สามารถวัดได้เป็นตัวเลขที่แน่นอนแล้ว คุณควรจะเริ่มสร้างวินัยในการใช้จ่ายสำหรับตัวคุณเองเสียแต่ในวันนี้ และพยายามติดตามผลทุกๆ เดือนว่าทำได้ตามเป้าหรือไม่ เพราะหากรู้แล้ว แต่ยังไม่ใส่ใจ ผลลัพธ์ที่ได้ที่จะติดตามมานั้นก็จะแปรผัน ตามพฤติการณ์ในการใช้จ่ายและการออมของตัวคุณเอง'

จากตัวอย่างข้างต้น ถ้าคุณยังมีพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบตามใจชอบเหมือนเดิม และเก็บออมในอัตราเพียงครึ่งเดียวของที่ควรจะเป็น หรือ 15% ของรายได้เท่านั้น

ซึ่งจากตารางดังกล่าว คุณจะต้องใช้เวลาถึง 30 ปี จึงจะบรรลุเป้าหมายเงิน 3,000,000 บาทดังกล่าว นั่นหมายความว่า หลังเกษียณแล้ว คุณยังไม่ใช้เงินเก็บก้อนนั้น แต่ยังต้องทำงานหาเงินต่ออีก 10 ปี เพื่อดำรงชีวิต และมีเก็บออมให้ได้เดือนละ 3,125 บาทด้วย

ถ้าคุณไม่ยอมจ่ายเพื่อตัวเองก่อนในอัตรา 30% ของรายได้ในวันนี้ แต่เลือกที่จะออมเพียง 15% ของรายได้ คุณก็ต้องยอมลดมาตรฐานการครองชีพช่วงหลังเกษียณที่เคยวางแผนไว้ 50% ในทางตรงข้ามถ้าคุณยอมกระเหม็ดกระแหม่อีกนิดด้วยการเก็บออมในอัตรา 45% ของรายได้ คุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้เร็วขึ้นในเวลาเพียง 15 ปีเท่านั้น และเมื่อคุณอายุครบเกษียณ 60 ปี คุณจะมีเงินเพิ่มขึ้นเป็น 4,250,000 บาท(=500,000+15 คูณ 250,000 บาท)

'เป้าหมายระดับเงินออมที่เพียงพอสำหรับคุณในอนาคตนั้น จะถูกกำหนดจากตัวแปรเพียง 3 ตัวเท่านั้น คือ 'เงินต้น' 'ระดับของผลตอบแทน' และ 'ระยะเวลา' และในตัวแปรทั้ง 3 ตัวนี้ มีเพียง 2 ตัวเท่านั้น ที่คุณสามารถจะควบคุมได้ นั่นก็คือ เงินต้นและระยะเวลา ดังนั้น ยิ่งเริ่มต้นออมเร็วเท่าไร ก็จะใช้เงินในการออมน้อยลงเท่านั้น'

ได้มีผู้พยายามศึกษาว่าผู้อยู่ในวัยทำงานจะต้องออมเท่าไร ต้องวางแผนการออมอย่างไร จึงจะสามารถสะสมเงินออมตลอดช่วงวัยทำงานเพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพเมื่อหลังเกษียณอายุ โดยพิจารณาจาก 'อัตราทดแทนรายได้' (Replacement Rate) หมายถึงตัวเลขที่จะบอกได้ว่าคุณควรจะมีเงินได้ต่อเดือนเท่าใดจึงจะมีชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบายๆ โดยทั่วไปจะใช้ตัวเลขที่ 50% นั่นคือ คุณควรจะมีรายได้จากการใช้ 'เงินทำงาน' อย่างน้อย 50% ของรายได้ในช่วง 5 ปีก่อนเกษียณ จึงจะสามารถรักษามาตรฐานการครองชีพช่วงหลังเกษียณอย่างมีความสุขเอาไว้ได้

ตารางที่ 2 เป็นอัตราทดแทนรายได้หลังเกษียณของเครื่องมือทางการเงินประเภทต่างๆ ภายใต้สมมติฐานที่ว่าเครื่องมือทางการเงินประเภทต่างๆ ให้ผลตอบแทนเหมือนกับอดีตในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ผู้ศึกษาได้คำนวณอัตราทดแทนรายได้ของผู้ออมโดยจำแนกตามจำนวนปีที่ออม และเครื่องมือทางการเงินต่างๆ แล้วจะได้ผลตามตารางที่ 2 ซึ่งจะพบว่า ผู้ที่ออมเงินน้อยกว่า 10 ปี คือ เริ่มต้นคิดออมเมื่ออายุ 50 ปี จะไม่มีทางบรรลุถึงอัตราทดแทนรายได้ที่ระดับ 50% ในทุกกรณี

สำหรับผู้ที่ออมเงินนานถึง 20-30 ปี คือ เริ่มต้นเก็บออมตอนอายุ 40 ปี และ 30 ปีตามลำดับ จะมีโอกาสบรรลุถึงอัตราทดแทนรายได้ที่ 50% ได้ แต่ต้องเป็นไปภายใต้เงื่อนไขอัตราการออมและเครื่องมือทางการเงินที่เขาเลือกลงทุน ซึ่งถ้าผู้ออมต้องการเลือกลงทุนในเครื่องมือทางการเงินที่มีความปลอดภัย แต่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ผู้ออมก็จะต้องชดเชยด้วยอัตราการออมที่สูงขึ้น

ซึ่งในกรณีดังกล่าวอัตราการออมอาจจะต้องสูงถึง 40-50% ของรายได้ แต่ที่น่าสนใจก็คือ ยิ่งผู้ออมมีระยะเวลาในการเก็บออมยาวนานเท่าใด จะยิ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเลือกอัตราการออมและเครื่องมือทางการเงินได้ตามความต้องการ และความชอบของตัวเองได้มากขึ้นด้วย ดังจะเห็นได้จากยิ่งผู้ออมเริ่มเก็บออมช้า ก็ยิ่งจะต้องไปลงทุนในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นนั่นเอง

ลองสำรวจดูตัวเองซิว่า วันนี้ คุณมีระดับของเงินออมที่เพียงพอแล้วหรือยัง

บ้านมือสอง คอนโด condo บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านเช่า ที่ดิน
วันที่ : 28 เมษายน 2548
จำนวนผู้อ่าน : 8880 ครั้ง
เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ
ซื้อคอนโดมือสองก็ต้องละเอียด (ดู 11578 ครั้ง)
การจัดเก็บค่าส่วนกลางยังเป็นปัญหาเรื้อรัง (ดู 10191 ครั้ง)
ขั้นตอนจดทะเบียนนิติบุคคล (ดู 11288 ครั้ง)
ประกันภัยบ้านต้องทำอะไรบ้าง (ดู 11551 ครั้ง)
คอนโดริมน้ำกำลังเป็นที่นิยม (ดู 10522 ครั้ง)
ใครดีใครร้ายในปีมะเส็ง 56 (ดู 10676 ครั้ง)
ฮวงจุ้ย ทิศหัวเตียงหรือหัวนอน (ดู 13680 ครั้ง)
ข้อดีของการซื้อบ้านจัดสรร (ดู 12231 ครั้ง)
จะซื้อบ้านจัดสรรฟังทางนี้ (ดู 4721 ครั้ง)
เมื่อนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรถึงทางตัน (ดู 4843 ครั้ง)
บ้านไม้สไตล์พรีแฟบ (ดู 5480 ครั้ง)
เลือกบ้านสำเร็จรูปแบบไหนดี (ดู 4904 ครั้ง)
นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร (ดู 5051 ครั้ง)
รู้ทันก่อนซื้อประกันภัยบ้าน (ดู 4632 ครั้ง)
จัดตั้งนิติบุคคลฯแล้วจะเป็นอย่างไร (ดู 4337 ครั้ง)
ตรวจสอบเบื้องต้นง่ายๆ หลังแผ่นดินไหว (ดู 4081 ครั้ง)
กฏหมายว่าด้วยรั้วบ้าน (ดู 5137 ครั้ง)
ขั้นตอนจัดตั้งนิติบุคคล บ้านจัดสรร (ดู 5271 ครั้ง)
เตรียมเสนอขยายสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (ดู 4153 ครั้ง)
เทรนด์ การซื้อขายบ้านมือสอง (ดู 4487 ครั้ง)
หน้าที่ของผู้ซื้อฯกับนิติบุคคลฯ (ดู 4791 ครั้ง)
สิทธิของเจ้าของห้องชุด (ดู 4706 ครั้ง)
บทบาทเจ้าของร่วมอาคารชุด (ดู 4266 ครั้ง)
ทำไมต้องจ่ายค่าส่วนกลาง (ดู 5003 ครั้ง)
ห้องไม่เรียบร้อย อย่ารับโอน (ดู 4977 ครั้ง)

Google
 
ขายบ้าน, คอนโด มือสอง, บริษัทนายหน้า, โบรกเกอร์, รับฝากขายบ้าน, ขายบ้าน, realtor, agency, บริษัท ขายบ้าน, ตัวแทน นายหน้า, รับฝากขาย, ซื้อขายบ้าน, ฝากขายบ้าน นายหน้า ขายบ้าน, บ.นายหน้า ขายบ้าน, โบรกเกอร์, ซื้อขายบ้าน, รับฝากขายบ้าน, ตัวแทนนายหน้า, โบรกเกอร์บ้าน, นายหน้าบ้าน, ตัวแทนบ้าน ขายบ้าน ตกแต่งบ้าน ฟอร์นิเจอร์ ออกแบบ บ้าน ซื้อขาย บ้าน, รับออกแบบ บ้าน, รวมแบบบ้านแบบ บ้าน, ตกแต่งภายใน บ้าน, interior design ออกแบบ บ้าน, interior รับออกแบบ บ้าน, Architecture รับออกแบบ บ้าน, ตกแต่งบ้าน, ตกแต่งภายใน, Mudahouse, ตกแต่งภายใน, รับเหมา ก่อสร้างบ้าน, บริษัท ก่อสร้าง
ติดต่อลงโฆษณา : ududee@msn.com
โทรศัพท์: 08-9180-5710
Copyright ©2005-2012 Hometophit All rights reserved