ข้าวที่เป็นอาหารหลัก เป็นพืชพันธุ์ที่ผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาตลอดหลายร้อยหลายพันปี แต่ทว่าในวินาทีนี้คนไทยกลับหมางเมินหันไปใส่ใจกับฟาสต์ฟู้ด ขนมปัง สปาเกตตี หรือของกินหรูเลิศอิมพอร์ตจากเมืองนอกที่แสดงรสนิยมอันศิวิไลซ์ ตัวเลขที่คนไทยกินข้าวน้อยลง ว่ากันว่ามีประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขนี้ถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง เพราะญี่ปุ่นประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งพึ่งพาข้าวเป็นอาหารหลักเหมือนกับเรา เขาสำรวจพบปริมาณการกินข้าวของคนในชาติตกต่ำลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในรอบ 10 ปี ! นี่เป็นความจริงที่นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นนำมาเผยแพร่ให้กับมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยให้เหตุผลว่า กลัวไทยจะดำเนินรอยตาม เพราะเทรนด์การบริโภคของคนไทยคล้ายประเทศญี่ปุ่นมากทีเดียว !!! ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ประธานกรรมการมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ บอกเล่าว่า "สถานการณ์ข้าวในวันนี้น่าเป็นห่วง เพราะคนทั่วโลกบริโภคข้าวน้อยลง ประชาชนคนไทยเคยกินข้าวก็เปลี่ยนไปนิยมขนมปังซึ่งทำจากข้าวสาลี ทั้งๆ ที่ข้าวผูกพันกับประเทศเรามานาน ข้าวช่วยพยุงเศรษฐกิจ ข้าวเป็นภูมิปัญญา มีศักดิ์ศรี เป็นของศักดิ์สิทธิ์ อยากให้นึกถึงความสำคัญของข้าว นึกถึงบุญคุณของข้าวที่เลี้ยงเรามา" "ผมเคยทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า...ทรงโปรดเสวยอะไร ? พระองค์ท่านบอกคำเดียวว่า...ข้าว ! แม้จะเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่ในวินาทีนั้นกินใจมากๆ ซึ่งพระองค์ท่านบอกต่ออีกว่า...ข้าวพันธุ์ดีอย่างข้าวหอมมะลินี่ พอเปิดฝาหม้อมากลิ่นข้าวหอมโชยออกมาจนหาอะไรมาเทียบได้ยากเหลือเกิน..." "ข้าวจึงเป็นอะไรที่อยู่กับตัวเรา อยู่ในชีวิตจริง อยู่ในดวงจิตวิญญาณ จนกระทั่งเราลืม เราทำให้คุณค่าของข้าวหายไป ผมเองทุกปีต้องตามเสด็จไปดำนา ถึงเวลาก็ต้องไปเกี่ยวข้าว พอไปทำกับตัวเอง ก็ทำให้เห็นว่า กว่าข้าวจะหลุดออกมาอยู่ในจานอย่างที่เห็นต้องถูกแลกมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย เราไปทำนาแค่ไม่นานยังปวดขบ เทียบกับชาวนาไม่ได้เลย" ...ถ้าเรารู้สักนิดก็จะพบว่า ข้าวเป็นพืชที่มหัศจรรย์มาก ฝรั่งเคยวิจัยว่าข้าวมีสารชนิดหนึ่งที่ทำให้ไม่เครียด คนไทยเลยได้หัวเราะกันตลอด แต่มายุคนี้เราไม่เอากันเลย จะเอาแต่ขนมปัง ไข่ดาว สเต๊ก ! นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นในกระแสบริโภคนิยมของคนปัจจุบัน กระแสแห่งความเจริญก้าวหน้าที่ทำให้คนหลงลืมรากเหง้าของชนชาติ ลืมข้าวที่เป็นอาหารหลักของคนไทยอย่างไม่เหลือเยื่อใย สำหรับบางคนหากให้กลับไปสำรวจตรวจตราอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน อาจพบว่าวันนี้ไม่มีเมล็ดข้าวสักเม็ดตกถึงท้อง ! ยิ่งกระแสแฟชั่นหุ่นเพรียวที่ทั่วโลกพากันต่อต้านอาหารคาร์โบ ไฮเดรตทรงอิทธิพลข้ามฟากมาถึงแดนสยามอย่างฮอตฮิต ดูเหมือนก็ยิ่งทำให้ข้าวห่างไกลคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดร.ขวัญใจ โกเมศ เลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ตอกย้ำถึงสถานการณ์การบริโภคข้าวของคนไทยว่า "ที่ผ่านมามีการพบว่าคนไทยบริโภคข้าว 110 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แต่เท่าที่เข้าใจในภาวะปัจจุบันตัวเลขนี้ใช้ไม่ได้แล้ว เพราะคนไทยบริโภคน้อยลงกว่าเดิม 20-30 เปอร์เซ็นต์ คนรุ่นหลังหันไปให้ความสำคัญกับฟาสต์ฟู้ดมาก ซึ่งนี่เป็นเทรนด์ของประชากรในประเทศเราและประเทศในเอเชียอื่นๆ" ที่น่าตกใจก็คือ ตัวเลขที่ฟ้องการบริโภคข้าวที่ลดลงนี้จะตรงข้ามกับภาวะเศรษฐกิจคือ ถ้าเศรษฐกิจตก การบริโภคข้าวในบ้านเราก็จะมาก แต่ถ้าเศรษฐกิจดี การเปิบข้าวเข้าปากของคนก็จะลดน้อยลงอย่างฮวบฮาบ ! ดร.ขวัญใจกล่าวว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นห่วงเรื่องข้าวมาก ! เมื่อไม่นานมานี้ทางสภาอุตสาหกรรมฯได้เข้าไปถวายงาน ซึ่งพระองค์ท่านคุยเรื่องข้าวถึง 1 ชั่วโมง พระองค์ท่านจะให้การสนับสนุนในส่วนของมูลนิธิ ให้ทำงานในเรื่องนี้โดยเฉพาะในเรื่องการจดสิทธิบัตรข้าว อย่างกรณีของข้าวหอมมะลิที่เป็นข่าวใหญ่โต พระองค์ทรงเป็นห่วงมาก" "พระองค์ท่านเคยตรัสว่า ...ถ้าเราต้องไปซื้อข้าวคนอื่นเขา เสียศักดิ์ศรีเราไม่ยอม..." ประชาชนคนไทยที่อาศัย "ข้าว" เป็นอาหารหลักในการหล่อเลี้ยงให้ชีวิตเติบโตจำนวนไม่น้อยก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตัวต่อเรื่องนี้เช่นกัน ! โดยที่ผ่านมามีแรงกระตุ้นหลายระลอกทั้งจากมูลนิธิข้าวไทยฯที่พยายามผลักดันให้เกิดการผลิตข้าวคุณภาพดี ราคาต่ำ ผลักดันให้เกิดการแปรรูปข้าวเพื่อให้เข้ายุคสมัย และล่าสุดก็คือสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีได้ร่วมกับมูลนิธิข้าวไทยฯจัดทำหนังสือ "ข้าวของพ่อ" โดยได้ วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย มาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของข้าวในแผ่นดินไทย ตลอดจนวัฒนธรรมข้าว และสายใยความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับชาวนาไทย จุดประสงค์ใหญ่ใจความที่ทำให้หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้น ประการหนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเพราะเหตุผลคนไทยกินข้าวน้อยลง ! ดังนั้นการปลุกจิตสำนึกในเรื่องนี้จึงต้องเกิดขึ้นโดยพลันก่อนที่ทุกอย่างจะไม่ทันการ 40,000 เล่ม เห็นว่าทางสำนักพิมพ์ดีเอ็มจีจะนำทูลเกล้าฯถวายสำหรับพระราชทานแก่โรงเรียนทั่วประเทศ ส่วนรายได้จากการจำหน่ายหนังสือในราคาเล่มละ 140 บาทตามปั๊มน้ำมันบางจากทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล ในเบื้องต้นนั้นทางดีเอ็มจีจะนำส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย น่าสนใจก็คือ ในท้ายเล่มของหนังสือข้าวของพ่อ ยังมีกับข้าวรสเลิศที่เป็นร่างรายการเมนูพระกระยาหารลายมือ ท่านผู้หญิงประสานสุข ตันติเวชกุล ต้นเครื่องพระกระยาหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมานานกว่า 40 ปี มีทั้งหมด 8 ชุด อาทิ เครื่องกลางวัน ข้าวคลุกพะแนงในผลสับปะรด แกงร้อนเป็นคำๆ ปลาเนื้ออ่อนสามรส ผัดกะหล่ำปลีกับกุ้ง ฯลฯ แค่เห็นรายการเมนูพระกระยาหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงเป็นดั่งขวัญข้าวขวัญแผ่นดินแล้ว ชวนให้คิดว่าเหตุใดคนไทยในยุคสมัยนี้ถึงละเลยข้าว อาหารที่เป็นดั่งรากเหง้าของชนชาติไทยได้ถึงเพียงนี้ !!! ...ใช่ทุกครั้งที่เราตักสปาเกตตีเข้าปาก เรารู้สึกโก้หรู... ...ใช่ทุกครั้งที่เรากัดแฮมเบอร์เกอร์คำโต เรารู้สึกเท่ เก๋ ทันสมัย... ...แล้วข้าวของไทยละ... ..."ป้าๆๆๆ กะเพราไก่ไข่ดาวราดบนข้าวสวยร้อนๆ จานนึง !"
|