แววตาของเด็กน้อยวัย 2 เดือนกำลังจับจ้องอยู่กับสิ่งที่ห้อยโตงเตงอยู่ตรงหน้า พร้อมกรอกสายตาตามไปมาทางซ้ายและทางขวา เราไม่รู้ว่าภาพที่ไปปรากฏในสมองของเด็กจะเป็นอย่างไร หลายคนก็คงสงสัยว่าสิ่งที่เห็นเป็น โมบายปลาตะเพียนตัวสีแดง ที่ห้อยอยู่ในเปลนอนตรงหน้าของเจ้าตัวน้อยนั้น เขาจะเห็นเป็น ปลาตะเพียนสีแดง หรือไม่...และทำไม ปลาตะ เพียนสีแดง จึงถูกเลือกให้มาลอยเด่นอยู่ตรงหน้าเด็กทารก เพื่อทำหน้าที่เป็น เพื่อนเล่น เป็น ของเล่น ในวัยเยาว์ ภ.ญ.ดร.พัชราภรณ์ ปัญญาวุฒิไกร ผอ.ฝ่ายเคลื่อนไหวสาธารณะ สถาบันวิทยาการการเรียนรู้ (สวร.) เฉลยข้อสงสัยนี้ว่า คุณรู้มั้ยว่าคนรุ่นเก่าสร้างภูมิปัญญาในเรื่องนี้ไว้อย่างชาญฉลาด ที่เลือกเอาปลาตะเพียนมาเป็นโมบาย และพัฒนามาเรื่อย ๆ จากวัสดุใบลาน ใบมะพร้าวที่ไม่มีสีสัน จนกลายมาเป็นปลาตะเพียนสีแดง ที่เลือกสีแดงเป็นหลักก็แทบไม่น่าเชื่อว่าจะตรงกับงานวิจัยที่ระบุว่าเด็กจะจดจำสีแดงได้ง่าย เพราะเป็นแม่สี อีกทั้งยังมีการนำหลอดกาแฟมาประดิษฐ์เพื่อลดเรื่องอันตรายต่อเด็กลงได้ ก็เลยจะบอกว่า โมบายปลาตะเพียนเป็นของเล่นชิ้นแรกของเด็กเลยทีเดียว ทำไมน่ะหรือ ก็เนื่องจากเด็กวัยแรกเกิดถึง 3 เดือน กล้ามเนื้อต่าง ๆ ในร่างกายยังพัฒนาการไม่เต็มที่ แต่เด็กสามารถใช้สายตาและกล้ามเนื้อตาได้ก่อนส่วนอื่นแล้ว การเล่นทางตาจึงเป็นการเล่นอย่างแรกของเด็ก เมื่อ โมบายปลาตะเพียน เป็นจุดกำเนิดในเรื่องของ เล่นในการพัฒนาสมองเด็กแล้ว เพื่อให้ครบวงจรทาง สวร. จึงต่อยอดออกไปเพื่อทำให้เรื่องการพัฒนาสมองเป็นไปอย่างเต็มที่ กระทั่งกลายเป็นของเล่นชิ้นหนึ่งใน ถุงรับขวัญ ที่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่รัฐบาลตั้งใจมอบให้กับ เด็กแรกเกิดทุกคน จำนวน 9 แสนชุด โดยรัฐบาลหวังว่าจะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมพัฒนา การทางสมองเด็ก แรกเกิดจนถึง 18 เดือน และให้สังคมตระหนักว่า เด็ก คือทรัพยากรที่สำคัญของชาติ อย่างไรก็ดี แม้จะมีการแจกแค่เพียงปีเดียว ตามกำหนดการเดิมคือระหว่างวันที่ 28 ก.ค. 48 ถึง 27 ก.ค. 49 แต่ ก็ยังต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้ง หลายคนก็อาจมองว่า เอ๊ะ! แล้วลูกฉันที่เกิดก่อนหน้านี้ หรือ หากฉันไปคลอดหลังกำหนดการแจก ก็อดได้ถุงรับขวัญสิ? คำถามเช่นนี้ ภ.ญ.ดร. พัชราภรณ์ บอกว่า เราก็คิดอยู่ว่าหลายคนต้องสงสัยว่าทำไมถึงเลือกแจกแค่ปีเดียว อย่างนี้นะคะ สิ่งสำคัญเราไม่อยากให้มองว่าเป็นของฟรี เธอได้ ฉันไม่ได้ อะไรอย่างนั้น แต่อยากให้ดูที่วัตถุประสงค์สำคัญ 4 เรื่อง ที่หากพ่อแม่รายอื่นเข้าใจสามารถนำไปใช้เองได้ นั่นคือ อย่างแรกเน้นการส่งเสริมประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การมอง ฟัง สัมผัส รับรส และเรื่องกลิ่น อย่างที่สองการพัฒนากล้ามเนื้อ อย่างที่สามเน้นเรื่องการพัฒนาอีคิวหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และเด็ก และสุดท้ายคือเรื่องของการสร้างรากฐานทักษะทางภาษาและดนตรี มาถึงตรงนี้คงอยากรู้แล้วสิว่าใน ถุงรับขวัญ มีอะไรอยู่บ้างและแต่ละอย่างมีความสำคัญอย่างไร พลันที่ ภ.ญ. ดร.พัชราภรณ์ เปิดกล่องสีน้ำตาลแล้วหยิบถุงผ้าสีเหลืองขอบเขียวขึ้นมาเปิดออก ก็พบว่าในถุงใบนั้นมีของอยู่ข้างในจำนวน 8 อย่างด้วยกัน สิ่งแรกอย่างที่เกริ่นมาข้างต้นว่า โม บาย ถือเป็นของเล่นชิ้นแรก ในถุงรับขวัญนี้ของเล่นจึงมี โมบายเรขาคณิต ที่เป็นทั้งโมบาย และของเล่นที่กระตุ้นการมอง และการจดจำรูปทรง เพราะมีทั้งรูปเรขาคณิตต่าง ๆ และสีสันสดใส ชิ้นที่ 2 ของเล่น คุณพระเศวต เป็นตุ๊กตารูปช้าง ที่ได้รับพระราชทานภาพช้างฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาใช้เป็นแบบ ของเล่นชิ้นนี้เน้นเรื่องการสัมผัส เพราะตั้งแต่หูช้างแต่ละข้างมีวัสดุสอดไส้ที่แตกต่างกัน ข้างหนึ่งเป็นเม็ดพลาสติกใส่ในถุงผ้าอยู่ข้างใน อีกข้างเป็นแผ่น พลาสติกที่ให้เสียงก๊อบแก๊บเพิ่มขึ้นมาด้วย อีกทั้งตัวช้าง หูช้าง ยังเป็นผ้าพิเศษที่เด็กยังสามารถดูดกัดได้ รวมทั้งมีห่วงพลาสติกที่เด็กสามารถจับถือและฝึกความแข็งแรงของฟันและเหงือกด้วยการกัดได้อีกด้วย ชิ้นที่ 3 หนังสือนุ่มนิ่มลอยน้ำ อ่านสนุก อ่านเพลิน เป็นหนังสือที่ทำจากพลาสติกชนิดนิ่ม เนื้อหาในหนังสือเน้นรูปภาพสิ่งของใกล้ตัว เช่น หมวก กาง เกง ถุงเท้า เป็นต้น เพื่อให้เด็กเรียนรู้การจดจำรูปทรง และเรียนรู้การรักการอ่าน เนื่องจากจะมีตัวอักษรกำกับเอาไว้ให้เด็กได้ดู พ่อแม่เพียงอ่านให้ฟัง แล้วเด็กก็จะจดจำทั้งเสียง ภาพ และตัวหนังสือไปเอง ซึ่งหนังสือนุ่มนิ่มนี้ ยังเอาไปอ่านระหว่างอาบน้ำได้ เพราะเวลาที่เด็กอาบน้ำมักจะต้องมีของเล่นลอยน้ำอยู่เสมอ ชิ้นที่ 4 คือ เทปคาส เสต และแผ่นซีดี ที่รวบรวม เพลงกล่อมลูกสยาม ประกอบด้วยเพลงกล่อมลูกทั้ง 4 ภาคของไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูก เพราะเพลงจะช่วยพัฒนาพื้นฐานทางภาษาผ่านเนื้อร้อง และเสียงสูงต่ำของทำนองยังช่วยฝึกทักษะการฟัง และเพลงยังช่วยเพิ่มเส้นใยประสาทในสมองของเด็กอีกด้วย ชิ้นที่ 5 หนังสือสัมผัสร้อยรักครอบครัว เป็นหนังสือเล่มแรกที่คุณพ่อและคุณแม่จะอ่านให้ลูกฟัง เพราะในหนังสือเล่มนี้จะรวมทั้งการฝึกการฟัง การดู การสัมผัส และฝึกกล้ามเนื้อ โดยในหนังสือจะมีทั้งรูปภาพสีสันสดใส และผิวสัมผัสที่แตกต่าง อาทิ ผ้าขน หนัง กระดาษเงา และไม้ ให้ลูกน้อยได้เรียนรู้การสัมผัส และมีท่าทางประกอบ เนื่องจากเนื้อหาเป็นทำนองเพลงสั้น ๆ มีท่าประกอบ ทั้งนี้การอ่านให้ลูกฟัง พ่อแม่ ต้องหันหนังสือให้ลูกดู เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การสัมผัสและจดจำไปพร้อมกัน ชิ้นที่ 6 ผ้าพัฒนาการ เป็นทั้งถุงห่อของขวัญและผ้าห่ม หรือจะเป็นผ้าปูรองนอนก็ได้ โดยตัวผ้าตัดเย็บด้วยผ้าหลากหลายผิวสัมผัส ที่มาจากผลิต ภัณฑ์โอทอป เป็นรูปช้างที่ออกแบบให้เกิดเสียงเมื่อจับเขย่า ขยำ ที่จะกระตุ้นความสนใจของเด็กได้ ชิ้นที่ 7 หนังสือเรื่องนมแม่ เป็นหนังสือที่รวบรวมสาระความรู้เกี่ยวกับนมแม่ เพื่อเป็น คู่มือให้กับคุณแม่มือใหม่ได้ ตระหนักถึงคุณค่าของ น้ำนมแม่ โดยได้รับการสนับสนุนจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ชิ้นที่ 8 คู่มือรับขวัญวันสมองใส เป็นหนังสือคู่มือที่ ให้พ่อแม่เข้าใจในเรื่องของพัฒนา การเด็กและการใช้ประโยชน์จากสิ่งของใน ถุงรับขวัญ เมื่อ สวร.จัดเตรียมให้เรียบร้อย จะบรรจุลงกล่องแล้วส่งให้กระทรวงสาธารณสุขนำ ไปแจกต่อไป โดยจะอ้างอิงจากสถิติเด็กแรกเกิดในปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์ และเราก็จะติดตามดูผลต่อไปว่าพัฒนาการจากการใช้จะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเราเชื่อว่า ถุงรับขวัญจะเป็นก้าวแรกที่ดีสู่การพัฒนาในขั้นต่อไปได้เป็นอย่างดี ภ.ญ.ดร.พัชราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย. |