|
โรคเกิดจากเชื้อปรสิต |
เยื่อหุ่มสมอง-สมองอักเสบ ชนิดปฐมภูมิจากอะมีบา (Primary Amebic Meningoencephalitis)
เชื้ออะมีบาเป็นปรสิตเซลล์เดียว ที่มีรายงานว่าทำให้เกิดอาการอักเสบเป็นหนองของเยื้อหุ้มสมองและสมองส่วนกลางชนิดปฐมภูมิ (primary) [มิได้เกิดที่อื่นก่อนแล้วลามไปสมอง ถ้าเกิดที่อื่นก่อนจะเรียกว่า ทุติยภูมิ (secondary)] มีอยู่ ๒ ชนิด คือ Naegleria และ Hartmanella หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า Hartmanella เชื้อทั้ง ๒ ชนิดนี้พบได้ในประเทศไทย และมีรายงานผู้ป่วยจากเชื้อทั้ง ๒ ชนิดนี้ว่า เกิดจากการติดเชื้อ Naegleria ซึ่งเป็นอะมีบาที่มีหนวด (flagella) และเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เชื้อดังกล่าวเป็นเชื้อที่พบตามแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น บ่อ หนองน้ำ บึง ทะเลสาบ น้ำจืด และในลำธารหลายแห่งในประเทศไทยเข้าใจว่าคงจะพบในประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วย เชื้อนี้ชอบน้ำอุ่น ๆ จึงพบมากในฤดูร้อนหรือแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ใกล้โรงงานที่ปล่อยน้ำร้อนออกมา นอกจากในหนองน้ำแล้ว ยังพบในดิน แต่จะไม่พบในน้ำกร่อย หรือน้ำทะเลเชื้อนี้มีซีสต์ จึงทนความแห้งแล้งได้ดี แต่ถูกทำลายได้โดยคลอรีนที่มีความเข้มข้น ๔ ส่วนในล้านส่วน จึงไม่พบในสระว่ายน้ำที่ใช้คลอลีนฆ่าเชื้อ ผู้ป่วยมักจะมีประวัติว่า ไปเล่นน้ำในบ่อ บึงแม่น้ำหรือคลอง ระยะฟักตัวประมาณ ๑ - ๒ สัปดาห์ ผู้ป่วยจะสำลักน้ำ และเชื้อจะเข้าไปทางจมูก ถ้าได้รับเชื้อเข้าไปมาก เชื้อจะแบ่งตัวในจมูก ทำให้มีอาการคล้ายเป็นหวัด คัดจมูกมีน้ำมูกไหล ต่อมาเชื้อจะเข้าสู่สมองผ่านทาง Olfactory nerve ทำให้เกิดอาการอักเสบของสมองและเยื่อหุ้มสมองแบบเป็นหนอง ในรายที่ได้รับเชื้อเข้าไปน้อยก็จะไม่เป็นโรค คนที่ชอบดำน้ำลงไปที่ก้นหนองน้ำ หรือบึงแล้วสำลัก จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนที่เล่นน้ำบริเวณผิวน้ำ เพราะเชื้อจะมีมากบริเวณก้นบึง
หลังจากที่มีอาการหวัดแล้ว ต่อมาจะมีอาการปวดศีรษะ เป็นไข้ อาเจียน มึนและชักคอแข็ง ผู้ป่วยมักเสียชีวิตภายใน ๑ - ๒ สัปดาห์ หลังจากเริ่มมีอาการ การวินิจฉัยจะทำได้โดยการตรวจน้ำไขสันหลัง ถ้าตรวจดูในทันทีที่เกิดอาการ อาจพบเชื้ออะมีบาเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน มักจะวินิจฉัยได้ยาก จะต้องเพาะเชื้อจึงจะวินิจฉัยได้หากวินิจฉัยโรคนี้ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก อาจรักษาได้โดยปฏิชีวนะ Amphotericin B ร่วมกับ rifampicin และ iconazole แต่ถ้ามีอาการหนักแล้ว มักจะรักษาไม่หาย
การติดเชื้อ Acanthameba
เชื้อมักเข้าทางผิวหนังผ่านบาดแผลเข้าสู่กระแสเลือดแล้วไปสู่สมอง เคยมีรายงานในประเทศไทย ติดเชื้อจากเลนส์สัมผัสที่ใช้แทนแว่นตา มักเกิดโรคในคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่เกี่ยวข้องกับการว่ายน้ำ อาการเป็นไปอย่างช้าๆ และเรื้อรัง เชื้อนี้อาจพบได้ในทางเดินหายใจของคนปกติ อาจรักษาได้โดยใช้ยาcotrimoxazole polymyxin B,sulfonamide
เชื้อทั้ง ๒ ชนิดนี้ยังไม่พบรายงานผู้ป่วยมากนัก ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค การป้องกันกระทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการเล่นน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติที่สกปรกในฤดูร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งน้ำอุ่นที่มาจากโรงงาน ทางราชการต้องควบคุมให้ใส่คลอรีนในสระว่ายน้ำต่างๆ ให้ได้มาตรฐาน ดูแลการสุขาภิบาลให้ดี ไม่ให้เทขยะหรือของเสียลงแม่น้ำลำคลอง โรคนี้อุบัติขึ้นจากสิ่งแวดล้อม
อะมิซาคิเอสิส(Anisakiasis) หรือโรคพยาธิอะนิซาคิส (Anisakis)
พยาธิอะนิซาคิส (Anisakis) เป็นพยาธิตัวกลมอยู่ในกระเพาะของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล เช่น ปลาโลมา ปลาวาฬ ตัวอ่อนระยะติดต่ออยู่ในปลาน้ำเค็ม โรคนี้เกิดจากการบริโภคปลาดิบแบบญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า ซูซิ (Sushi) ซึ่งเป็นที่นิยมบริโภคกันมากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลกโรคนี้พบมากในประเทศญี่ปุ่น เมื่อกินปลาทะเลดิบๆ ที่มีพยาธิเข้าไป พยาธิจะถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อปลา โดยน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของคน หรืออาจจะถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารเสียก่อน โดยการอาเจียน ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดโรค ในกรณีที่พยาธิไม่ถูกขับออกไป พยาธิอาจจะชอนไชไปตามทางเดินอาหาร แล้วอยู่ในลำใส้ และอยู่นอกลำใส้ภายในช่องท้องก็ได้ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๘ - ๒๕๓๐ มีรายงานว่าผู้ป่วยในประเทศญี่ปุ่น ๔,๖๘๒ ราย เกิดก้อนทูมในกระเพาะอาหาร ๔,๒๙๖ ราย ผู้ป่วยอีก ๓๗๕ ราย พบในลำใส้ และ ๑๑ ราย พบในช่องท้องอาการของโรคคือ มักจะปวดท้อง ปวดกระเพาะอาหาร ลำไส้อุดตัน และอาจมีอาการคล้ายๆ ไส้ติ่งอักเสบ ถ้าตัดก้อนทูมออกมาตรวจ จะพบพยาธิอยู่ภายในก้อนทูม การรักษาทำได้โดยการผ่าตัด การป้องกันคือการกินอาหารที่สุกดีเชื้อนี้ตายง่ายถ้าต้มให้เดือด แต่ถ้าแช่แข็งอาจจะอยู่ได้นานถึง ๒๔ ชั่วโมง ในประเทศไทยเริ่มพบได้ประปราย โรคนี้อุบัติขึ้นเพราะพฤติกรรมการบริโภคอาหารของมนุษย์
คาลา-อาซาร์ (Kala-Azar) เป็นโรคที่เกิดจากปรสิตในจีนัส Leishmania ซึ่งมีอยู่ ๓ สปีซีส์ คือ L. donovani ทำให้เกิดโรคแก่อวัยวะภายใน หรือที่เรียกอีกชื่อว่า คาลา-อาซาร์ L.tropica ทำให้เกิดแผลเปื่อยที่ผิวหนัง และL.brasiliensis เป็นโรคที่มีการอักเสบของเยื้อบุจมูก ปาก คอ ทำให้เป็นแผลลึกหรืออาจเรียกว่า โรคเอสปุนเดีย (Espundia) แต่เดิมโรคคาลา-อาซาร์จะพบในภาคตะวันตกของอินเดียและแอฟริกา ขณะนี้พบได้ประปรายในประเทศไทย เนื่องจากมีผู้ใช้แรงงานนำโรคเข้ามาจากต่างประเทศที่ไปพำนักอยู่ ระยะฟักตัวของโรคประมาณ ๓ สัปดาห์ถึงหลายเดือน เริ่มต้นจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไปคือ มีอาการอ่อนเพลียอารมณ์ไม่แจ่มใส ปวดศีรษะ ท้องอืด ท้องเฟ้อท้องเสีย บางครั้งท้องผูก ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ต่ำๆ และมีไข้สูงเป็นระยะๆ ผิวหนังจะซีดเหลือง ผิวแห้ง ตับโต ม้ามโต อาจมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง แต่เดิมอัตราการตายของโรคนี้ค่อยข้างสูง ปัจจุบัน สามารถรักษาให้หายได้โดย Pentavalent antimonials โรคนี้เกิดจากการเคลื่อนย้ายประชากรจากถิ่นที่ไม่เคยมีโรคไปสู่ดินแดนที่มีโรคชุกชุม
โรคเท้าช้าง (Elephantiasis) หรือฟิลาริเอสิส (Filariasis) พยาธิก่อโรคคือ Wuchereria bancrofti, Brugia malayi และ Brugia timori ในประเทศไทยพบพยาธิ ๒ ชนิดแรกเท่านั้น ผู้ที่ติดเชื้อหนอนพยาธิฟิลาริเอสิสมักจะไม่ปรากฏอาการให้เห็นในระยะแรกๆ ของการติดเชื้อ ในรายที่แสดงอาการจะพบว่า มีการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองและการอุดตันของระบบทางเดินน้ำเหลือง ซึ่งจะเกิดหลังจากการรับเชื้อแล้วนาน ๓ เดือน ถึง ๑ ปี ต่อมา ต่อมน้ำเหลืองบริเวณโคนขาหนีบ ขาและอวัยวะเพศบวมโต ถ้าเป็นในผู้ชาย จะมีการอักเสบของหลอดผลิตน้ำกาม และท่อน้ำกามลูกอัณฑะบวม มีไข้ หนาวสั่น อาจพบอาการอื่นๆ คล้ายกับการติดเชื้อทั่วๆ ไป บางรายเท้าจะใหญ่โตมาก (เหมือนเท้าช้าง จึงเรียกว่า โรคเท้าช้าง) หรืออวัยวะเพศโตมาก ซึ่งเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเนื้อเยื่อพังผืด (fibrous tissue) และการอุดตันของท่อทางเดินน้ำเหลือง ถ้าตรวจพบเชื้อในระยะเริ่มต้น สามารถใช้ยารักษาได้ถ้าถึงระยะที่มีการขยายตัวของเนื้อเยื่อพังผืดแล้วจะรักษาได้โดยทางศัลยกรรม โรคนี้เกิดจากมีแรงงานต่างชาติจากประเทศที่ยังเป็นถิ่นระบาดของโรคเข้ามาทำงานในประเทศไทย คริพโตสปอริดิโอสิส (Cryptosporidiosis) โรคนี้เกิดจากพยาธิคริพโตสปอริเดียม ซึ่งเป็นพยาธิโปรโตซัวที่อยู่ในลำใส้ของสัตว์ และทำให้สัตว์เกิดอาการท้องเดิน แต่เดิมพยาธิชนิดนี้ไม่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ มีรายงานครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ในช่วงตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ -๒๕๒๕ มีผู้ป่วยที่รายงานว่า เกิดอาการท้องเดินจากพยาธิชนิดนี้เพียง ๗ ราย โดยส่วนใหญ่เป็นสัตวแพทย์ และนักวิจัยโรคสัตว์ ต่อมาเมื่อมีรายงานโรคเอดส์ขึ้น จึงพบว่า พยาธิชนิดนี้ไปก่อโรคในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันเสื่อมจากไวรัสเอชไอวีด้วย โดยทำให้เกิดอาการท้องเดินเรื้อรัง ซึ่งจะทำให้ผอมลงอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตได้ในระยะแรกๆ ที่เพิ่งจะพบโรคนี้ในมนุษย์ จะสามารถให้การวินิจฉัยได้ โดยการตัดเอาเยื้อบุลำไส้ไปตรวจเท่านั้น แต่ในปัจจุบันนี้ การตรวจอุจจาระก็สามารถให้การวินิจฉัยได้ โรคนี้ยังไม่มียารักษาจำเพาะ
โรคอุจจาระร่วงเรื้อรังนอกจากจะเกิดจากพยาธิ Cryptosporidium แล้ว ยังมีพยาธิที่ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ติดเชื้อได้ง่าย ได้แก่ isospora belli และ Microsporidium
พยาธิเหล่านี้จะไม่ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วงในคนทั่ว ๆ ไป สาเหตุที่เกิดโรคอุบัติขึ้นเนื่องจากภูมิคุ้มกันเสื่อมจากการติดเชื้อเอชไอวี
พยาธิใบไม้เลือด พยาธิใบไม้เลือดหรือชื่อทางการแพทย์เรียกว่า ซิสโตโซมิเอสิส (schistosomiasis) เกิดจากพยาธิในจีนัส ชิสโตโซมา (Schistosoma) ซึ่งมีอยู่ ๔ สปีชีส์ด้วยกันคือ S. hematobium, S. mansoni S. mekongi และ S. japonicum ในประเทศไทยเพิ่งพบโรคนี้หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ โดยพบว่าเกิดจาก S. japonicum ซึ่งเข้าใจกันว่า ชาวญี่ปุ่นนำโรคเข้ามาแพร่ในระหว่างสงครามโลก ครั้งที่ ๒ พบ S.mekongi ประปรายที่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงในระยะหลังมีรายงานว่า พบชนิด S.hematobium ในผู้ใช้แรงงานที่กลับจากแอฟริกาด้วย
การติดต่อโดยพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำจะชอนไขผ่านผิวหนังของคนและสัตว์ไปยังหลอดเลือดดำเล็กๆ สำหรับ S. hematobium จะกระจายไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายคือ ไปเจริญเป็นตัวแก่อยู่ที่ตับ จึงไปทำให้เกิดอาการโรคบิดและตับแข็ง สำหรับS. mansoni จะไปเจริญเป็นตัวแก่อยู่ที่หลอดเลือดดำและลำไส้ใหญ่ ทำให้ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดและสุดท้ายจะทำให้ตับแข็งได้ ส่วน S. hematobium จะชอบอยู่ที่ข่ายหลอดเลือดดำที่กระเพาะปัสสาวะและต่อมลูกหมาก หรือมดลูก จึงทำให้ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือดได้ พยาธิตัวอ่อนจะเจริญในหอยน้ำจืด การป้องกันคือ ไม่ถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงในแหล่งน้ำ ยาที่ใช้รักษาคือ พราซิควอนเทล เข้าใจกันว่า ญี่ปุ่นเป็นผู้น้ำโรคนี้เข้ามาในประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒
ทริคิโนสิส หรือโรคพยาธิหมูป่า เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ทริคิเนลลา สไปรัลลิส (Trichinella spiralis) จะเกิดภายหลังกินเนื้อสัตว์ดิบ ๆ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ พยาธินี้พบบ่อยมากในเนื้อหมู อาจเป็นหมูตามภูเขา หมูป่า หรือหมูเลี้ยงตามหมู่บ้าน ระยะฟักตัวประมาณ ๕-๗ วัน ก็จะแสดงอาการโดยเริ่มมีอาการระคายเคืองและอักเสบของระบบทางเดินอาหารบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ตัวอ่อนของพยาธิที่อยู่ในเนื้อสัตว์จะชอบชอนไชเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง และท้องเดิน ระยะนี้เรียกว่าระยะที่มีอาการทางกระเพาะและลำไส้ บางรายจะเป็นผื่นแดงจางๆ ตามละตัว เพราะพยาธิชอนไชไปตามท่อน้ำเหลืองไปอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง น้ำไขสันหลัง สุดท้ายจะกลับเข้าสู่กระแสโลหิต และไปฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อในลักษณะของซีสต์ คือมีผนังหุ้มโดยรอบ โดยเฉพาะที่กล้ามเนื้ออก กล้ามเนื้อน่องกล้ามเนื้อไหล่ ตั้งแต่กินเนื้อหมูที่มีตัวอ่อนของพยาธิเข้าไป ระยะฟักตัวประมาณ ๓-๔ สัปดาห์ จึงจะเกิดซีสต์ ซีสต์จะโตเต็มที่ในเวลา ๒ เดือน เมื่อนผ่านไป ๖-๙ เดือน ก็จะมีหินปูนเกาะพยาธิอาจจะมีชีวิตอยู่ในซีสต์นี้ได้อีกนาน ในระยะที่ตัวอ่อนชอนไช จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดศีรษะ คอแข็ง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจขัด ปวดแขน ปวดน่อง มีไข้เป็นพักๆ หนังตาบวม ตาแดง และกลัวแสงสติไม่ค่อยดี ทรงตัวไม่ดี หนาวสั่น อ่อนเพลีย มีเลือดออกใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบการวินิจฉัยทำได้โดยการทดสอบผิวหนังและการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจหาพยาธิ ในรายที่มีอาการไม่รุนแรง สามารถใช้ยาไธอะเบ็นดาโซลรักษาโรคนี้ให้หายได้ รายที่มีอาการรุนแรงจะเสียชีวิตจากการที่กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวในสัปดาห์ที่ ๑-๒ หรือสัปดาห์ที่ ๔-๘
โรคนี้เกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่สุกของมนุษย์ |
|
บ้านมือสอง คอนโด condo บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านเช่า ที่ดิน
วันที่ : 19 มกราคม 2555
จำนวนผู้อ่าน : 1498 ครั้ง
เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ
|
|
|
ขายบ้าน, คอนโด มือสอง, บริษัทนายหน้า, โบรกเกอร์, รับฝากขายบ้าน, ขายบ้าน, realtor, agency, บริษัท ขายบ้าน, ตัวแทน นายหน้า, รับฝากขาย, ซื้อขายบ้าน, ฝากขายบ้าน
นายหน้า ขายบ้าน, บ.นายหน้า ขายบ้าน, โบรกเกอร์, ซื้อขายบ้าน, รับฝากขายบ้าน, ตัวแทนนายหน้า, โบรกเกอร์บ้าน, นายหน้าบ้าน, ตัวแทนบ้าน ขายบ้าน ตกแต่งบ้าน ฟอร์นิเจอร์ ออกแบบ บ้าน ซื้อขาย บ้าน, รับออกแบบ บ้าน, รวมแบบบ้านแบบ บ้าน, ตกแต่งภายใน บ้าน, interior design ออกแบบ บ้าน, interior รับออกแบบ บ้าน,
Architecture รับออกแบบ บ้าน, ตกแต่งบ้าน, ตกแต่งภายใน, Mudahouse, ตกแต่งภายใน, รับเหมา ก่อสร้างบ้าน, บริษัท ก่อสร้าง
|