อสังหาฯตื่นตัวเจาะตลาดบ่าน3ล. "คิวเฮ้าส์-แสนสิริ"เปิดเกมถล่ม

"เมื่อดูสถิติจากฐานจำนวนประชากร จะสังเกตเห็นว่ายังไงๆ บ้านต้องขายได้ ไม่มีวันตัน ตราบใดที่คนยังต้องแต่งงาน ต้องมีลูก ครอบครัวรุ่นใหม่จึงเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ"

ประกอบกับปัจจุบันผู้ประกอบการต้องเจอแรงกดดันจากปัจจัยลบรอบด้าน อาทิ ราคาน้ำมันแพง อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ภาวะเงินเฟ้อ ฯลฯ ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นและผู้บริโภคซื้อบ้านได้ในราคาเท่าเดิมแต่บ้านมีขนาดที่เล็กลง

ล่าสุดผู้ประกอบการรายใหญ่ อาทิ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์, อารียา พร็อพเพอร์ตี้, แสนสิริ, ควอลิตี้เฮ้าส์, เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ฯลฯ เริ่มหันมาเปิดเกมเล่นกับตลาดระดับกลางเป็นครั้งแรกแบบชัดเจน โดยประกาศแตกซับแบรนด์ (ตั้งชื่อสินค้าโครงการใหม่) ขายบ้านในราคาเฉลี่ย 3 ล้านบาท ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม

เริ่มจาก บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีแผนเปิดทาวน์เฮาส์ 2 โครงการช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ในย่านลาดพร้าว 71 และพระราม 2 ราคาขาย 3-5 ล้านบาท มูลค่ารวม 1,180 ล้านบาท ภายใต้ แบรนด์ใหม่ "The Terrace" จากแผนลงทุนทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 2.6 หมื่นล้านบาท

"ทาวน์เฮาส์จะทำให้แลนด์ฯมีรายได้เพิ่มขึ้น และยังเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้าลงสู่ตลาดระดับกลาง" นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ย้ำ

ขณะที่บริษัทลูก "ควอลิตี้เฮ้าส์" หรือคิวเฮ้าส์ ประกาศแผนการลงทุนในปี 2549 ว่า จะบุกตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ราคาขายไม่เกิน 3-5 ล้านบาทมากขึ้น จากเดิมที่ขายบ้านหรูมานานพักใหญ่ คาดว่าจะบุกตลาดใหม่ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ เป็นบ้านเดี่ยวชื่อแบรนด์ "คาซ่า วิลล์" และทาวน์เฮาส์แบรนด์ "คาซ่า ซิตี้" มูลค่าลงทุน 7.4 พันล้านบาท

แต่พัฒนาภายใต้บริษัทในเครือ คือ บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด ที่คิวเฮ้าส์ถือหุ้นอยู่ 99% เดิมชื่อบริษัท คิวเฮ้าส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด

นายรัตน์ พานิชพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ กล่าวว่า สาเหตุที่คิวเฮ้าส์หันมาเล่นตลาดในระดับนี้ เพราะต้องการขยายฐานรายได้ให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์และเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อใหญ่ที่สุดในเวลานี้

"นิชมาร์เก็ตเราคือตลาดบนและคิวเฮ้าส์มีมาร์เก็ตแชร์มากสุด เราไม่ห่วงตรงจุดนี้แล้ว แต่เราต้องการโตในตลาดแมสด้วย โดยตั้งเป้าเติบโตไว้ถึง 25%" นายรัตน์กล่าว

สอดคล้องกับความเห็นของนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชี่ยนฯ ที่กล่าวว่า ประชาชนยุคนี้มีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น บริษัทจึงต้องปรับแผนเพื่อรองรับกำลังซื้อที่ลดลง โดยยังคงธีมเมืองใหญ่เช่นเดิม แต่ขนาดพื้นที่ใช้ สอยน้อยลง

ลักษณะเป็นทาวน์เฮาส์ ราคา 2.5 ล้านบาท จะเริ่มไตรมาสที่ 3 ชื่อ "เดอะ ปารีส" กรุงเทพ-กรีฑา เนื้อที่ 23.7 ไร่ 299 ยูนิต มูลค่าโครงการ 768 ล้านบาท

ที่เด็ดสุดและสร้างความฮือฮามาก คือ ค่ายแสนสิริ ที่โหมมาบุกตลาดบ้านราคา 3 ล้านบาทแล้วเป็นครั้งแรก ชื่อแบรนด์ "สราญสิริ" เป็นบ้านเดี่ยวทรงสวยเน้นดีไซน์ทันสมัย เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่และตอกย้ำ positioning ตัวเอง ในฐานะผู้นำตลาดบน-กลาง

ก่อนหน้านี้ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ได้ลงมาเล่นในตลาดระดับกลางเช่นกัน และรุกตลาดแนวสูงเป็นครั้งแรกเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ "เมโทร พาร์ค" จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในระดับ 1-2 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ "เพอร์เฟค พาร์ค" ราคา 3-4 ล้านบาท

นายธีระชน มะโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค กล่าวว่า ปีนี้จะเน้นการพัฒนาบ้านขายในระดับราคา 1-5 ล้านบาทมากขึ้น เพื่ออุดช่องโหว่ของตลาดที่มีความต้องการมาก โดยเฉพาะสินค้าราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท

ส่วนกลุ่มอารียา พร็อพเพอร์ตี้ ได้ปรับกลยุทธ์แตกไลน์สินค้าเปิดตัวทาวน์เฮาส์ 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 2,800 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการอารียา แมนดารีนา สุทธิสาร 130 ยูนิต ราคาขาย 4.49 ล้านบาท รวมมูลค่า 600-700 ล้านบาท, โครงการเมโทร ลาดปลาเค้า 300 ยูนิต ราคาขาย 2.9 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,000 ล้านบาท และโครงการวันดารา โมวา อ่อนนุช 240 ยูนิต ราคา 3.5 ล้านบาท รวมมูลค่า 1,000 ล้านบาท

นายสหัส ตันติคุณ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ได้บุกตลาดทาวน์เฮาส์ราคา 2-3 ล้านบาทไปแล้ว เชื่อว่าตลาดระดับราคานี้จะช่วยให้บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น