โฟกัสตลาดขายบ้านมือสองช่วงนี้จะพบว่าหลายบริษัทกำลังเร่งปรับโครงสร้างภายในองค์กร บางรายปรับกลยุทธ์ บางรายวางแผนขยายงาน ล่าสุดคือ "อีอาร์เอฯ" ที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หลังจาก "วรเดช ศิวเตชานนท์" ประธานกรรมบริหาร บริษัท อีอาร์เอ แฟรนไชส์ (ประเทศไทย) จำกัด เจรจาขอซื้อหุ้นจาก บมจ.เอสซี แอสเสท ที่ถือหุ้นผ่านบริษัทในเครือที่ชื่อ "ทุนนวัตกรรม" ทั้งหมด 76% ได้ตัดสินใจปรับระบบการบริหารงานในองค์กรครั้งใหญ่ ถามว่าเป้าหมายของการปรับครั้งนี้คืออะไร ? อาจเป็นเพราะทุกค่ายต่างมองว่าปีนี้ตลาดบ้านมือสองน่าจะได้รับผลดีแบบเต็มๆ จากการประกาศใช้มาตรลดหย่อนด้านภาษีของภาครัฐ สำหรับ "อีอาร์เอฯ" ให้น้ำหนักไปที่การเติมเต็มความเป็น "มืออาชีพ" ให้กับสมาชิกมากขึ้นทั้งในแง่การบริการลูกค้าและความจงรักภักดีกับองค์กร เพราะโบรกเกอร์ขายบ้านมือสองเป็นอาชีพที่เข้าเร็ว-ออกเร็ว หัวใจสำคัญของธุรกิจขายบ้านมือสองจึงอยู่ที่การพัฒนาบุคลากร เป้าหมายในปี 2549-2551 อีอาร์เอฯวางไว้ว่าจะต้องเพิ่มจำนวนแฟรนไชส์รายบุคคลอีก 2,000 คน รวมเป็น 3,000 คน ในจำนวนนี้ต้องเป็นสมาชิกที่แอ็กทีฟ 2,000 คน ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา "อีอาร์เอฯ" จึงเริ่มปรับระบบการบริหารงานภายในครั้งใหญ่ เริ่มจากการดึงตัว "ธนากร ทับทิมทอง" อดีตผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกันเอไอเอเข้ามานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการบริษัท เพื่อเข้ามาเป็นตัวประสานการทำงานระหว่างบริษัทกับสมาชิกให้ใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในเวลาเดียวกันก็แต่งตั้งทีมบริหารระดับผู้ช่วยผู้อำนวยการ 4 ตำแหน่ง รับผิดชอบสมาชิกแฟรนไชส์ที่เป็นบริษัททั้ง 55 ราย โดย 3 รายดูแลพื้นที่กรุงเทพฯรายละ 8 บริษัท ส่วนอีกคนดูแลพื้นที่ต่างจังหวัดอีกกว่า 30 บริษัท ในแง่ของการฝึกอบรมได้ปรับหลักสูตรใหม่ออกเป็น 6 ระดับ ขณะที่เรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าฟีเป็นอีกจุดที่บริษัทตัดสินใจปรับเปลี่ยนระบบ หลังจากประสบปัญหามีสมาชิกในรูปแบบบริษัทไม่จ่ายค่าฟีทั้งๆ ที่ขายบ้านได้ ล่าสุดได้ตัดสินใจปรับลดอัตราค่าฟีสมาชิกแฟรนไชส์ในรูปแบบบริษัท จากเดิมเก็บ 10% ของค่าคอมมิสชั่นที่ได้รับบวกกับค่าธรรมเนียมรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท ลดเหลือรายการละ 2,000 บาท บวกกับค่าธรรมเนียมรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท ส่วนแฟรนไชส์รายบุคคลปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมแรกเข้าจาก 3.5 หมื่นบาท เป็น 5 หมื่นบาท เนื่องจากหลังปรับเปลี่ยนระบบบริหารใหม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น ด้าน "เรียลตี้เวิลด์ฯ" ปีนี้ได้ประกาศแผนการลงทุนขยายสาขาเพื่อรุกตลาด ขยายตลาดบ้านมือสองในต่างจังหวัดมากขึ้น หลังจากเริ่มรุกตลาดเป็นครั้งแรกในปี 2546 โดยในช่วงไตรมาสแรกนี้จะลงทุนเปิดสาขาเองในจังหวัดขอนแก่นช่วงไตรมาส 2 เปิดสาขาพัทยา และช่วงไตรมาส 3 เปิดสาขานครราชสีมา รวมเบ็ดเสร็จใช้งบฯ 4-5 ล้านบาท ส่วนโบรกเกอร์ในรูปแบบสมาชิกแฟรนไชส์ที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขา ในจำนวนนี้ 2 รายอยู่ในต่างจังหวัด คือ สาขาหัวหิน และเชียงใหม่ รวมแล้วมีสมาชิกแฟรนไชส์ประมาณ 200 คน ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 สาขา โดยสาขาแรกที่จะเปิดดำเนินการอยู่ในย่านสุขุมวิท ไม่เพียงเท่านั้นค่ายนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมสมาชิก โดยเพิ่มโปรแกรมอบรมการใช้เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และตั้งเป้าว่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขายบ้านมือสองได้รวดเร็วขึ้นจากปัจจุบันมีระยะเวลาเฉลี่ยกว่า 3 เดือน จะลดลงให้เหลือต่ำกว่า 3 เดือน "หลักๆ คือเราจะต้องทำให้สมาชิกรู้ว่าสามารถทำเครื่องมือการตลาดที่บริษัทสนับสนุนได้อย่างไรบ้าง" วิศิษฐ์ คุณาทรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลตี้เวิลด์ อัลไลแลนซ์ จำกัด บอกกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ส่วนทางด้าน "บีซีพี เฮ้าส์ซิ่ง" ได้วางแผนขยายงานครั้งใหญ่รับกับแนวโน้มตลาดบ้านมือสองที่น่าจะเติบโตขึ้น โดยปีนี้วางเป้ายอดขายเติบโตถึง 25% หรือ 1,370 ล้านบาท "สมศักดิ์ ชุติศิลป์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีซีพี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด ยอมรับว่า เป็นปีที่ตั้งเป้าเติบโตมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาได้ครบ 10 ปีพอดี ปัจจุบันบีซีพีฯมีทีมงานฝ่ายขายทั้งหมด 34 คน เตรียมขยายงานรับพนักงานเพิ่มอีกกว่า 10 คน รวมเป็น 45 คน โดยจะรุกเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขายบ้านเก่าเพื่อซื้อบ้านใหม่ให้มากขึ้น โดยข้อมูลในปีที่ผ่านมาพบว่า ลูกค้าของบีซีพีฯมีสัดส่วนประมาณ 30% จากลูกค้าทั้งหมดที่ขายบ้านเก่าเพื่อซื้อบ้าน ล่าสุดจึงอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรบริษัทพัฒนาที่ดิน 3 บริษัทเพื่อรองรับแผนการรุกตลาด ครั้งนี้ที่จับมือกันแล้วคือ "แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์" และ "วังทอง กรุ๊ป" รวมถึงอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรรายสุดท้าย "ผมว่าธุรกิจนี้หัวใจขององค์กรคือเรื่องคน ส่วนในแง่ของการแข่งขันคือเรื่องบริการ สิ่งสำคัญคือการสร้างมาตรฐานการบริการให้เหนือกว่าคู่แข่ง" ขณะที่บริษัท ฟอร์เบสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจขายบ้านมือสองรายใหญ่อีกราย ปีนี้ได้วางเป้ายอดขายโตขึ้นอีก 15-20% โดยเน้นที่การเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านมือสองระดับราคาตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป จากปัจจุบันมีสัดส่วนการขายในกลุ่มนี้ประมาณ 50% จะเพิ่มเป็น 60% ขณะเดียวกัน ได้วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพและความซื่อสัตย์ต่อองค์กรเป็นหลัก โดยเน้นหนักไปที่การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องทั้งการให้ความรู้เกี่ยวกับไฟแนนซ์ ภาษี กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง "เราค่อนข้างเน้นเรื่องความซื่อต่อองค์กรค่อนข้างมาก เพราะธุรกิจบ้านมือสองสำคัญที่เรื่องคน ถ้าบุคลากรที่มีประสิทธิภาพก็เบาแรงลงเยอะ" สมศักดิ์ มุนีพีระกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์เบสท์ พร็อพเพอร์ตี้กล่าว |