แนวโน้ม ธุรกิจรับสร้างบ้านปีจอ "ธอส." ฟันธง ตลาดยังโต

      ธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 2548 ที่ผ่านมา แม้จะต้องเจอกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่ในแง่ของภาพรวมตลาดก็ยังคงมีอัตราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะตลาดรับสร้างบ้านมีวัฏจักรการขึ้น-ลงที่ไม่หวือหวา เห็นได้จากในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ธุรกิจรับสร้างบ้านก็ไม่ได้ตกลงมากนัก

ล่าสุดฝ่ายวิชาการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ได้จัดทำข้อสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2539-2548) และวิเคราะห์ถึงแนวโน้มธุรกิจในปี 2549 ไว้ได้อย่างน่าสนใจ และน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

บ้านสร้างเองเพิ่มปีละ 2.1 หมื่นหน่วย

ในแง่ของการขยายตัวของจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเองในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (2539-2548) จากข้อมูลที่จัดเก็บโดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. พบว่า ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล 5 จังหวัด มีที่อยู่อาศัยสร้างเองจำนวน 211,543 หน่วย

โดยตั้งแต่ปี 2539-2548 มีบ้านสร้างเองเกิดขึ้นในแต่ละปีจำนวน 28,059 27,418 22,716 15,497 18,064 19,639 17,693 18,598 19,859 และ 18,247 หน่วย (ปี 2548 ข้อมูล ม.ค.-ต.ค.) ตามลำดับ หรือเฉลี่ยปีละ 21,000 หน่วย จากข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ในแต่ละปีตลาดบ้านสร้างเองมีอัตราการขยายตัวและชะลอตัวที่ไม่รุนแรง ไม่แกว่งตัวตามสภาพเศรษฐกิจ และวงจรตลาดที่อยู่อาศัยมากนัก

โดยคาดการณ์ว่าในปี 2548 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปตลาดบ้านสร้างเองจะมีจำนวนประมาณ 24,000 หน่วย ขยายตัวจากปีก่อน 33.3% นับว่าขยายตัวสูงที่สุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการประชาสัมพันธ์และจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง

ลึกลงไปในรายละเอียดของตลาดบ้านสร้างเองในช่วง 10 เดือนแรกปี 2548 (ดูตารางที่อยู่อาศัยสร้างเองสูงสุด 10 อันดับแรกประกอบ) เมื่อแยกตามทำเลปรากฏว่าในเขตกรุงเทพฯ 3 อันดับแรกที่มีบ้านสร้างเองมากที่สุด ได้แก่ เขตลาดกระบัง 602 หน่วย เขตประเวศ 517 หน่วย และเขตคลองสามวา 505 หน่วย

ส่วนในเขตปริมณฑล 5 จังหวัด ได้แก่ อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 689 หน่วย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 584 หน่วย และอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 525 หน่วย

ชี้ตลาดรับสร้างบ้านแข่งขันสูง

ในปี 2548 ที่ผ่านมา ตลาดรับสร้างบ้านยังคงมีการขยายตัวต่อเนื่อง บวกกับอัตราดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ประชาชนหันมาปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเองมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจำนวนลูกค้าของบริษัทรับสร้างบ้านจะเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ในแง่ของการแข่งขันก็ยังอยู่ในระดับที่สูงมากเช่นกัน เหตุผลมาจาก 2 ส่วน คือ 1.มีบริษัทรับสร้างบ้านรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น และ 2.การแข่งขันจากผู้รับเหมา ซึ่งจากข้อมูลของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านพบว่าเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมีบริษัทรับสร้างบ้านที่จัดตั้งเป็นนิติบุคคล และมีการดำเนินธุรกิจต่อเนื่องประมาณ 120 บริษัท ไม่นับรวมผู้ประกอบการรับเหมาอิสระอีกจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านในปี 2548 ที่ผ่านมา ประมาณ 7,000 ล้านบาท (ดูตารางผู้ใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านประกอบ) ในจำนวนนี้บ้านระดับราคา 1-3 ล้านบาท มีส่วนแบ่งมากที่สุดถึง 56% คิดเป็นมูลค่า 3,920 ล้านบาท รองลงมาคือบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 23% คิดเป็นมูลค่า 1,610 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นบ้านราคา 5-10 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 12% คิดเป็นมูลค่า 840 ล้านบาท

ข้อมูลนี้สอดคล้องกับข้อมูลลูกค้าที่ใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมทั้ง 20 บริษัท ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 50% โดยบ้านระดับราคา 1-3 ล้านบาท ยังคงมีส่วนแบ่งมากที่สุดถึง 54% คิดเป็นมูลค่า 2,072 ล้านบาท รองลงมาคือบ้านระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 28% คิดเป็นมูลค่า 1,074 ล้านบาท อันดับ 3 เป็นบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 13% คิดเป็นมูลค่า 499 ล้านบาท อันดับ 4 เป็นบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีส่วนแบ่ง 4% คิดเป็นมูลค่า 154 ล้านบาท และสุดท้ายเป็นบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท มีส่วนแบ่ง 1% คิดเป็นมูลค่า 38 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีลูกค้าประมาณ 40% ที่ขอกู้สินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อปลูกสร้างบ้าน ขณะที่อีก 60% จะใช้เงินออมของตัวเองทั้งหมด

ยอดสร้างบ้าน 20 บริษัทเติบโต 21%

เมื่อพิจารณาถึงยอดสร้างบ้านของบริษัทรับสร้างบ้านทั้ง 20 รายที่เป็นสมาชิกสมาคม พบว่าในปี 2548 มีมูลค่ารวม 3,800 ล้านบาท เทียบกับปี 2547 ที่มีมูลค่า 3,170 ล้านบาท ถือว่าเติบโตขึ้น 21% ขณะที่จำนวนหน่วยมีตัวเลขใกล้เคียงกันคือ ปี 2547 อยู่ที่ 1,173 หน่วย ส่วนปี 2548 อยู่ที่ 1,161 หน่วย

โดยประมาณการว่าในปี 2548 ยอดขายบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นสมาชิกสมาคมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.บริษัท รอแยล เฮ้าส์ จำกัด 670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 170 ล้านบาท 2.บริษัท ซีคอน จำกัด 580 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 80 ล้านบาท 3.บริษัท แลนดี้โฮม (ประเทศไทย) จำกัด 430 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 30 ล้านบาท 4.บริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด 240 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 120 ล้านบาท และ 5.บริษัท ดิเอ็มเพอ เร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด 220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20 ล้านบาท

ชี้ 5 อุปสรรคธุรกิจรับสร้างบ้าน

ในแง่ของปัญหาอุปสรรคในธุรกิจรับสร้างบ้านพบว่ามี 5 ส่วนด้วยกัน 1.ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น 2.การขาดแคลนแรงงานฝีมือ 3.การขาดฐานข้อมูล 4.ขั้นตอนในการขออนุญาตค่อนข้างล่าช้า และ 5.ขาดการส่งเสริมจากภาครัฐ

ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจรับสร้างบ้านขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประการแรกรัฐบาลจึงควรออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ปลูกสร้างบ้านหลังแรก โดยให้สิทธิพิเศษจูงใจ เช่น การลดหย่อนภาษี อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการผ่อนชำระ ประการที่สองสถาบันการเงินควรให้การสนับสนุนลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อปลูกสร้างบ้านมากขึ้น ประการที่สาม ขึ้นทะเบียนบริษัทรับสร้างบ้านเพื่อให้ทราบตัวเลขผู้ประกอบการที่ชัดเจน ประการที่สี่ หน่วยงานภาครัฐควรปรับปรุงขั้นตอนการขออนุญาตปลูกสร้างบ้านให้เร็วขึ้น

สำหรับปีนี้สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านประเมินว่า มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะเติบโตต่อเนื่องต่อไปอีก โดยจะมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 8,400 ล้านบาท จากนั้นจะไต่ระดับสูงขึ้นถึง 10,000 ล้านบาทในปี 2550