ปัจจุบันการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดมิเนียมย่านใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ผู้ประกอบการมืออาชีพยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องแต่จะมีการจำกัดจำนวนโครงการที่เปิดตัวออกสู่ท้องตลาด ขณะที่พื้นที่รอบนอกจะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นตามแนวเส้นทางที่มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่พาดผ่าน เช่น ย่านรัชดาภิเษก, ลาดพร้าว, อ่อนนุช, พญาไท เป็นต้น โดยโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดียังมีอัตราการขยายตัวสูง ขณะที่โครงการในซอยประสบปัญหาในการขาย ส่วนราคาขายต่อตารางเมตรยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับราคาเพิ่มขึ้น โครงการระดับกลางได้มีการลดขนาดห้องชุดลงเพื่อคงราคาขายเดิมไว้ ส่วนโครงการระดับบนจะเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดลูกค้า ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในย่านเมืองท่องเที่ยวสำคัญในต่างจังหวัดกลับมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกาะภูเก็ต ชะอำ หัวหิน และพัทยา ผลจากการวิจัยของบริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองภูเก็ตยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่ม โดยมีมูลค่าตลาดรวม 8,480 ล้านบาท จาก 23 โครงการที่เปิดขายอยู่ในตลาด รวมทั้งสิ้น 823 ยูนิต ในจำนวนนี้มี 9 โครงการเปิดตัวหลังเกิดคลื่นยักษ์สึนามิ โดยมียอดขายรวม 50.7% ในจำนวนนี้มี 7 โครงการที่ทำยอดขายได้กว่า 80% ทั้งนี้เป็นเพราะตลาดคอนโดมิเนียมในภูเก็ตมีความแตกต่างจากตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯอย่างชัดเจน โดยมีขนาดของโครงการเล็กกว่า เพราะติดปัญหาข้อกฎหมาย เช่น ความสูงของที่ดิน และ ระยะห่างจากทะเล ทำให้แต่ละโครงการมีจำนวนห้องชุดเพียง 30-50 ยูนิตเท่านั้น ส่วนใหญ่ก่อสร้างเป็นอาคารขนาดเล็กจำนวนหลายอาคาร ในรูปแบบบูติก อพาร์ตเมนต์ ส่วน การถือครองห้องชุดจะมี 2 แบบ คือ การซื้อขาด ซึ่งลูกค้าชาวต่างชาติสามารถถือครองห้องชุดได้เพียง 49% และแบบสัญญาเช่าระยะยาว 30 ปี โดยโครงการส่วนใหญ่จะเปิดตัวในฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ต สูงถึง 61% เพราะมีระบบสาธารณูปโภค และวิวที่สวยงาม แต่ปัจจุบันพื้นที่ฝั่งตะวันออกกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น จะเห็นได้จากปริมาณการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีสูงถึง 39% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลัง 2547 ที่มีอยู่เพียง 28% เนื่องจากราคาที่ดินถูกกว่าถึง 50% เมื่อเทียบกับย่านอื่น สำหรับราคาห้องชุดที่เปิดตัวมากที่สุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2548 เป็นห้องชุดราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทสูงถึง 49% เพิ่มขึ้นจาก 38% ในครึ่งปีหลัง 2547 ส่วนห้องชุดราคา 10-15 ล้านบาท มีสัดส่วน33% และห้องชุดราคา 15 ล้านบาทขึ้นไปมี 18% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรในปัจจุบันได้เพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับ 65,000 บาท มีมากถึง 40% ของห้องชุดทั้งหมด ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมในย่านหัวหิน-ชะอำ มีจำนวนห้องชุดเปิดขายอยู่ทั้งสิ้น 1,153 ยูนิต จาก 13 โครงการ มีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ชะอำถึงเขาเต่า โดยโครงการส่วนใหญ่มีพื้นที่ติดหน้าหาด แต่ปัจจุบันที่ดินลักษณะดังกล่าวมีจำกัด ทำให้โครงการต่างๆ ขยายออกไปย่านชะอำและเขาเต่ามากขึ้น ซึ่งในช่วงไตรมาส2 ปีนี้มีโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 3 โครงการ คือ โครงการชะอำลองบีช ของบริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 106 ยูนิต ราคา 8.25 ล้านบาท โครงการโบ๊ทเฮ้าส์ หัวหิน เฟสแรกมี 98 ยูนิต ขนาด 93-226 ตร.ม. ราคาขาย 4.8 ล้านบาทขึ้นไป และโครงการ เนเจอร์วิลล่า หัวหิน จำนวน 50 ยูนิต ราคาขาย 15-25 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีราคาขายเฉลี่ย 6.1 ล้านบาทต่อยูนิตเพิ่มขึ้นจาก 5.2 ล้านบาทในครึ่งหลังของปี 2547 ส่วนห้องชุดที่มีราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีอยู่ 20% ราคา 3-5 ล้านบาทมี 25% และราคา 5-8 ล้านบาทมีอยู่ 35% ด้านยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับ 59.7% ลดลงจาก 72% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2547 เนื่องด้วยมีห้องชุดใหม่เปิดตัวเข้าสู่ตลาดถึง 370 ยูนิตจาก 3 โครงการ ทำให้ปริมาณยอดขายโดยรวมลดลงล่าสุดมีห้องชุดคงค้างอยู่ในตลาดประมาณ 465 ยูนิต สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองพัทยา ซึ่งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และล้อมรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้พัทยาเป็นพื้นที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาทั้งระยะสั้นและยาว ปัจจุบันห้องชุดส่วนใหญ่อยู่ในระดับเกรดซีสูงถึง 82% ทำให้มีคุณภาพงานก่อสร้างต่ำ ส่วนใหญ่เป็นห้องชุดแบบสตูดิโอ ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมระดับเกรดบีมีอยู่11% ซึ่งเป็นตลาดที่กำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่วนห้องชุดเกรดเอมีอยู่ 2 โครงการ คือ โครงการนอร์ธชอร์ และโครงการลา รอแยลบีช มีห้องชุดรวมกัน 311 ยูนิต ด้านราคาขายต่อ ตร.ม. อยู่ในระดับต่ำกว่า 45,000 บาท ซึ่งมีขนาดห้องเล็ก และขาดการดูแลที่ดีโดยมีสัดส่วนสูงถึง 64% ส่วนห้องชุดที่มีคุณภาพและได้รับวิวทะเลจะมีราคาขาย 45,000-65,000 บาทต่อ ตร.ม. ผลการสำรวจล่าสุดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่ามียอดขายรวม 2,029 ยูนิตจากจำนวนห้องชุดที่มีอยู่ในตลาดทั้งหมด 4,670 ยูนิต ขณะที่ห้องชุดคงค้างส่วนใหญ่เป็นระดับเกรดซีมีอยู่ 2,500 ยูนิต ส่วนเกรดเอมีคงค้างอยู่ในตลาด 110 ยูนิต. |