ปี พ.ศ.2548 ที่ผ่านมา เริ่มต้นด้วยความเศร้าสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์วิปโยค มหันตภัยสึนามิปลายปีก่อน ตามด้วยความไม่สงบในภาคใต้และโรคระบาดไข้หวัดนก เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปลายปี ขบวนการต่อต้านนายกรัฐมนตรีทักษิณเริ่มมีผลกระทบชัดเจน ในขณะที่ข่าวลือและประกาศการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นเป็นลำดับ สภาพการณ์ดังกล่าวล้วนเป็นปัจจัยลบต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ยังผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เริ่มชะลอตัว ไม่คึกคักเหมือนปีก่อนๆ แต่ก็มีข่าวโครงการที่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากสินค้าโดนใจผู้ซื้อ อย่างเช่น ทาวน์เฮาส์กลางเมือง และคอนโดมิเนียมริมเส้นทางรถไฟฟ้า ส่วนโครงการบ้านเดี่ยวราคาแพง เริ่มมีปัญหาทั้งยอดขาย และยอดผู้เข้าชมโครงการ ส่งสัญญาณอันตรายให้กับโครงการประเภทบ้านพร้อมอยู่หรือบ้านสร้างเสร็จก่อนขาย บิ๊กพัฒนาที่ดินโกยรายได้เฉียดแสน ล. ภายใต้สภาพการณ์ย่ำแย่นั้น ปรากฏว่าผลประกอบการปี พ.ศ.2548 ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำกัดมหาชน ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลับดีกว่าปี พ.ศ.2547 ยอดรายได้รวมสูงถึงเกือบ 100,000 ล้านบาท (92,066 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เหตุผลหนึ่ง น่าจะมาจากบริษัทพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์รายใหญ่ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดเพิ่มขึ้น ได้แก่ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) ผ่านขบวนการฟื้นฟูสามารถกลับเข้ามาในตลาดในชื่อใหม่อีกครั้ง แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการจะรู้ดีว่า ธุรกิจสร้างบ้านขายนั้น มีขบวนการยาวนาน เริ่มตั้งแต่จัดหาที่ดินหรือวางแผนพัฒนาโครงการ เปิดขายโครงการก่อสร้างพัฒนาที่ดินและบ้าน จนถึงส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อ ยังผลให้การรับรู้รายได้และการได้รับรายได้จริงนั้นต่างกรรมต่างเวลา ยอดรายได้ที่ปรากฏในปี 2548 จึงมาจากเปิดโครงการหรือการขายในปี พ.ศ.2547 หรือก่อนหน้านั้น โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัยหรือคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาดำเนินการนานสองสามปี ทั้งการพัฒนาโครงการ การขออนุญาตทางราชการ การก่อสร้าง และการรับโอนของผู้ซื้อ นอกจากนี้ หลายบริษัทเริ่มเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ จากการสร้างบ้านขายแบบเดิม ไปเป็นการให้เช่า ทำให้เกิดรายได้ แทนการปล่อยร้าง รอการซื้อขาย ไปจนถึงการขายยกโครงการให้กับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จัดตั้งขึ้นมาเฉพาะ และนำไปหารายได้ต่อไป ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ยอดรายได้ของ บริษัทอสังหาริมทรัพย์จำกัดมหาชนปี พ.ศ. 2548 เพิ่มมากขึ้น สวนกระแสเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เปิดตัวท็อปเทน-แลนด์ฯ ทิ้งห่างเบอร์ 2 จากรายงานผลประกอบการประจำปี 2548 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ จำกัด ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 24 บริษัทนั้น เมื่อรวมยอดรายได้ทุกบริษัท จะสูงถึง 92,066 ล้านบาท โดย บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ทำรายได้สูงสุดเกือบ 23,923 ล้านบาท เท่ากับ 1 ใน 4 ของรายได้รวมทุกบริษัท บริษัทที่ทำรายได้สูงเป็นอันดับสอง คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มียอดรายได้กว่า 10,517 ล้านบาท เท่ากับ 1 ใน 10 ของรายได้รวมทุกบริษัท สำหรับ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) อยู่ในลำดับที่ 3 และ 4 ทำรายได้ใกล้เคียงกันคือ 8,042 และ 7,634 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 ของรายได้รวมทุกบริษัท ลำดับ 5 และ 6 ของบริษัท ที่มีรายได้สูงสุดในปี พ.ศ.2548 และมีรายได้ใกล้เคียงเช่นกัน คือ กว่า 6,000 ล้านบาท (5,788 และ 5,413 พันล้านบาท) ได้แก่ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กลุ่มถัดมามีรายได้ประมาณ 3,500 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (3,582 พันล้านบาท) และ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (3,503 พันล้านบาท) ซึ่งจัดอยู่ในลำดับที่ 7 และ 8 ตามลำดับ สำหรับบริษัทที่มีรายได้รองลงมา อยู่ในกลุ่ม 2,000-3,000 ล้านบาท มีถึง 5 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำรายได้ 2,764, 2,722, 2,528, 2,371 และ 2,325 ล้านบาท ตามลำดับ เมื่อรวมรายได้ของทุกบริษัทที่กล่าวมา ทั้ง 13 บริษัทพบว่า มียอดรวมรายได้มากกว่า 81,119 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88 ของรายได้ทุกบริษัทรวมกัน ส่วน 11 บริษัทที่เหลือนั้น ล้วนเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีรายได้รวมกันเพียงร้อยละ 10 ของยอดรายได้รวม 11 บริษัทกินรวบตลาดบ้าน ด้วยตัวเลขที่ปรากฏ สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ฯของไทยในปัจจุบันอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่เพียง 11 บริษัทเท่านั้น โดยบริษัทที่มีรายได้สูงสุดนั้น มีส่วนแบ่งในตลาดถึงร้อยละ 25 และบริษัทที่มีรายได้รองลงมาเป็นอันดับสองนั้น มีส่วนแบ่งในตลาดอีกร้อยละ 10
|