|
เอกชน/รัฐบาล เข็นสารพัดเครื่องมือกู้วิกฤตบ้านจัดสรร |
ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ ไม่ค่อยสดใส อยู่ในภาวะขมุกขมัว จากปัจจัยลบรุมเร้าหลายปัจจัย ทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ และมีการคาดการณ์ว่า ราคาจะทะลุ 105 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล รวมถึงภาวะเงินเฟ้อ ราคาวัสดุก่อสร้างแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ทำให้กำลังซื้อหดหาย ประกอบกับความไม่สงบทางภาคใต้ ทุกปัจจัยล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ทำให้ตลาดขยายตัวในอัตราที่ลดลง นอกจากนี้ คาดกว่าความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยอาจชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3-4 เนื่องจากราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อำนาจในการซื้อลดลง ค่าครองชีพสูงขึ้น อีกทั้งการหาแหล่งเงินกู้ยาก จากการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้ผู้ประกอบการขายบ้านได้ยากขึ้น ที่สำคัญ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหลักที่มีผลทำให้กำลังซื้อลังเลในช่วงสั้น ๆ ธอส.เล็งปล่อยกู้ดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว 10 ปี ขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่ออย่างแน่นอน เพราะจะทำให้ผู้กู้ลังเลที่จะเลือกซื้อบ้าน เนื่องจากไม่มั่นใจในความสามารถในการผ่อนชำระ ดังนั้น ธอส.จึงพยายามที่จะหาวิธีปล่อยสินเชื่อให้ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงช่วยให้ผู้กู้สามารถวางแผนการผ่อนชำระได้ในระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปี โดยธอส.มีแผนที่จะปล่อยกู้ระยะยาว 5 ปี ดอกเบี้ย 5.5% ซึ่งจะปล่อยกู้ได้ในราวปลายเดือนเมษายนนี้ หรือไม่เกินเดือนพฤษภาคมนี้ และกำลังศึกษาเพื่อปล่อยกู้ดอกเบี้ยคงที่ระยะยาวถึง 10 ปี อัตราดอกเบี้ยที่ 6.75-7.0% เพื่อให้ผู้กู้มีความมั่นใจในการผ่อนชำระมากขึ้น ทั้งนี้ลูกค้าเก่าที่มีประวัติการผ่อนชำระดี ชำระตรงเวลา สามารถขอเปลี่ยนสัญญามาใช้เงื่อนไขนี้ได้ สำหรับแนวโน้มการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงิน ทั้งสินเชื่อโครงการและสินเชื่อรายย่อยนั้น กิตติ พัฒนพงษ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่น้อยลง ระยะเวลาคงที่สั้นลง และจะเน้นปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวหรืออัตราอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้นผสมอัตราดอกเบี้ยลอยตัว หรือ MLR มากขึ้น และให้สินเชื่อ Pre-finance อย่างเข้มงวดมากขึ้น 3สมาคมยันตลาดโต 5-10% ขณะที่ 3 สมาคมอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และสมาคมอาคารชุดไทย มีความเห็นตรงกันว่า ปีนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีขยายตัวในระดับ 5-10% สมเชาว์ ตัณฑเทอดธรรม นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาฯ ยังสามารถขยายตัวได้ แต่จะไม่รุนแรงเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีปัจจัยต่าง ๆ เข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดในการให้สินเชื่อ ทำให้ตลาดไม่ขยายตัวเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อดีที่ช่วยควบคุมไม่ให้ซัปพลายมีมากเกินไปด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ธุรกิจอสังหาฯ เติบโตอย่างถูกต้อง บ้านสั่งสร้างนิยมเพิ่ม แนวคิดดังกล่าว สอดคล้องกับความเห็นของอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย ซึ่งมองว่า ภาพรวมทั้งตลาดจะไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านมา โดยบ้านสั่งสร้างจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคมีความมั่นใจ ในกฎหมายจัดการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (เอสโครว์) ท่ำลังจะถูกนำมาบังคับใช้ ด้านประสงค์ เอาฬาร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า โครงการใหม่จะมีการเปิดตัวน้อยลงจากปีที่แล้ว ที่มีการเปิดตัวประมาณ 6.7 หมื่นหน่วย จะเหลือเพียง 5-6 หมื่นหน่วยในปีนี้ ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วตามสภาพความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น คลังเล็งเข็น 4 มาตรการ ขณะที่ภาครัฐ โดยกระทรวงการคลังก็มีนโยบายในการดูแลตลาดที่อยู่อาศัย โดยวีระชัย วีระเมธีกุล กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมมาตรการสำหรับการดูแ ภาคอสังหาริมทรัพย์ไว้ 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1.ให้สำนักงานที่ดินจัดทำข้อมูลของผู้ที่มาติดต่อธุรกรรม ว่าเป็นบ้านใหม่หรือบ้านมือสอง เพื่อส่งไปให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เก็บรวบรวม 2. มาตรการด้านกฎหมายซึ่งจะแยกเป็น การร่างกฎหมายการจัดการประโยชน์ของคู่สัญญา (เอสโคร์ว) ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งผลักดันให้ออกมาเป็นกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และอาจจะให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ประกอบการรายย่อยในบางประเด็น 3. มาตรการการดูแลการขายทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะให้ความสำคัญกับตลาดบ้านมือสองมากขึ้น โดยได้เตรียมมาตรการในการดูแลบ้านมือสอง และสนับสนุนให้มีการใช้กฎหมายกับตัวแทนนายหน้าในการซึ้อขายบ้านมือสอง เพื่อความยุติธรรมในการทำธุรกิจ ซึ่งคาดว่าจะนำมาบังคับใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้เป็นอย่างช้า เตรียมชงครม.ขอลดภาษี และ 4. มาตรการทางด้านภาษี ที่กระทบต้นทุนในการดำเนินงานของผู้ซื้อและผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% รวมทั้งค่าอากรแสตมป์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 10% ถือว่าเป็นต้นทุนที่สูงเกินไป ขณะนี้รัฐบาลอยู่ระหว่างศึกษากรอบภาษีดังกล่าว ซึ่งจะเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเพื่อปรับลดลงไปอีก เพื่อความเหมาะสม ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว กระทรวงการคลังทำการศึกษาเสร็จแล้ว เตรียมจะผลักดันให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาต่อไป คาดว่าจะนำมาใช้ได้ภายในไม่เกินสิ้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า กรอบภาษีดังกล่าวจะใช้กับบ้านมือสองเพียงอย่างเดียว หรือใช้กับบ้านใหม่ด้วย นอกจากนั้นสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องช่วยกันกำหนดกรอบที่เป็นธรรมให้ผู้ประกอบการในตลาด ให้ปฏิบัติอย่างถูกต้อง เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นภาครัฐจะเข้ามาจัดการให้เอง เพื่อให้ประชาชนผู้ซื้อดูแลตัวเองได้และไม่ถูกเอาเปรียบ ขณะเดียวกันภาครัฐจะเน้นให้คนซื้อมีเงินออมมาซื้อบ้าน แต่ผู้ประกอบการก็ต้องแข็งแรงขึ้นด้วย |
|
บ้านมือสอง คอนโด condo บ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านเช่า ที่ดิน
วันที่ : 28 เมษายน 2548
จำนวนผู้อ่าน : 3679 ครั้ง
เรื่องอื่นๆที่น่าสนใจ
|
|
|
ขายบ้าน, คอนโด มือสอง, บริษัทนายหน้า, โบรกเกอร์, รับฝากขายบ้าน, ขายบ้าน, realtor, agency, บริษัท ขายบ้าน, ตัวแทน นายหน้า, รับฝากขาย, ซื้อขายบ้าน, ฝากขายบ้าน
นายหน้า ขายบ้าน, บ.นายหน้า ขายบ้าน, โบรกเกอร์, ซื้อขายบ้าน, รับฝากขายบ้าน, ตัวแทนนายหน้า, โบรกเกอร์บ้าน, นายหน้าบ้าน, ตัวแทนบ้าน ขายบ้าน ตกแต่งบ้าน ฟอร์นิเจอร์ ออกแบบ บ้าน ซื้อขาย บ้าน, รับออกแบบ บ้าน, รวมแบบบ้านแบบ บ้าน, ตกแต่งภายใน บ้าน, interior design ออกแบบ บ้าน, interior รับออกแบบ บ้าน,
Architecture รับออกแบบ บ้าน, ตกแต่งบ้าน, ตกแต่งภายใน, Mudahouse, ตกแต่งภายใน, รับเหมา ก่อสร้างบ้าน, บริษัท ก่อสร้าง
|